10 ลู่วิ่งไฟฟ้า ยี่ห้อไหนดี ราคาไม่แพง ปรับความชันได้หลายระดับ 2025

การวิ่งเป็นการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ (Cardio) หากถามว่าการวิ่งเหมาะกับทุกคนไหม ก็อาจจะไม่เหมาะ เช่น กลุ่มผู้สูงอายุ มีน้ำหนักตัวเกินในปริมาณที่มาก ซึ่งจะมีความเสี่ยงต่อข้อเข่า ทำให้มีอาการบาดเจ็บได้ ซึ่งความรุนแรงของอาการจะขึ้นอยู่กับแต่ละคน ซึ่งร่างกายคนเราไม่เหมือนกัน บางคนก็มาเต็มร้อย บางคนก็ด้วยอายุ แต่โดยส่วนใหญ่ที่เจออาการบาดเจ็บจะมีอาการเจ็บแปล็บ ซึ่งเมื่อไหร่ที่มีอาการเจ็บจะไม่แนะนำให้วิ่ง ให้งดไปก่อน และไปออกกำลังกายที่ลดภาระข้อเข่าลงมากกว่า

ลู่วิ่งไฟฟ้ามีข้อได้เปรียบกว่าการไปวิ่งข้างนอกอย่างไร ประสิทธิภาพดีกว่าวิ่ง outdoor หรือเปล่า

ประสิทธิภาพไม่ได้ต่างกัน แต่ส่วนตัวแล้วแนะนำให้วิ่งบนลู่วิ่ง ด้วยปัจจัยภายนอก เช่น สภาพแวดล้อม พวกฝุ่นก็คือตัวหนักเลย เลยอยากแนะนำให้วิ่งในบ้านจะดีกว่า เพราะถ้าออกไปข้างนอกประสิทธิภาพของการทำงานภายในร่างกายอย่างเช่น ระบบไหลเวียนเลือด ไปจนถึงการทำงานของปอด ก็จะทำงานลำบากขึ้น ถ้าวิ่ง outdoor ในสภาพแวดล้อมมีฝุ่น PM2.5 เยอะ ๆ ก็สามารถสะสมไปในร่างกายได้

ถ้าต้องการลงแข่งวิ่ง สามารถใช้ลู่วิ่งในการฝึกซ้อมได้ไหม

สามารถใช้ลู่วิ่งในการซ้อมวิ่งได้ แต่ก็อาจจะต้องรักษาสมดุล สลับไปกับสนามวิ่งจริงด้วย ลู่วิ่งก็จะมีข้อดีในเรื่องของความสะดวก เพราะบางวันที่เราอยากซ้อม สภาพอากาศอาจไม่เป็นใจ ก็สามารถเลือกใช้ลู่วิ่งแทนได้ ยกตัวอย่างถ้าในทั้งหมด 7 วันที่เราซ้อม อาจจะแบ่งสัก 2 วันมาซ้อมบนลู่ก็ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับการวางโปรแกรมของแต่ละคนเช่นกัน

ลู่วิ่งดี ๆ ควรเลือกจากปัจจัยอะไรบ้าง

เลือกจากสามปัจจัยหลัก ๆ คือ งบประมาณอย่างที่ได้บอกไปข้างต้นว่าถ้ามองการใช้เครื่องในระยะยาวราคาควรตั้งต้นที่ราว ๆ สามหมื่นบาท ต่อมาคือเรื่องแบรนด์ ถ้าใครมีแบรนด์ในดวงใจ แนะนำให้เลือกแบรนด์นั้นตั้งต้นแล้วหาข้อเปรียบเทียบกับรุ่นอื่น ๆ แทน แต่อยากแนะนำว่าให้ลองเปรียบเทียบกับแบรนด์อื่น ๆ ในราคาเท่าๆ กันดูด้วย เพราะเราอาจจะได้เจอรุ่นที่ตรงใจมากกว่าด้วยก็ได้ และอันสุดท้ายคือเลือกจากโหมดหรือโปรแกรมที่มีมาให้จากลู่วิ่ง แต่จะมองแค่นั้นก็อาจจะไม่จบทุกอย่าง เพิ่มเติมคือควรดูเรื่องวัสดุที่ลู่วิ่งตัวนั้นมีการใช้ แต่ทั้งนี้ลู่วิ่งก็ไม่ได้มีแค่ราคาหลักหมื่นเท่านั้น แต่ถ้าเป็นหลักแสน ความรู้สึกที่ให้ก็จะให้ความหรู (เป็นเรื่องของความสบายใจของผู้ใช้) กว่ากันค่อนข้างเยอะ option เสริม โปรแกรมก็จะมีให้เลือกจุใจกว่า ถ้าใครชอบความพร้อม ความสะดวก ก็เลือกราคาสูงได้เลย

มีทางเลือกอื่นสำหรับคนอยากคาร์ดิโอแต่ไม่อยากวิ่งและให้ผลใกล้เคียง เริ่มจากง่ายสุด จะเป็นการว่ายน้ำ ซึ่งจะเซฟต่อข้อเข่ามากที่สุด รอง ๆ ลงมาจะเป็นการปั่นจักรยาน ซึ่งการปั่นที่ว่านั้นจะรวมทั้งการนั่งปั่นในมุมปกติ กับมุม Decline ซึ่งจะดีหน่อยเพราะแบบนี้จะได้เอนหลัง และยังมีอีกแบบที่อาจจะพูดไม่ได้เต็มปากว่าเป็นการปั่นที่สบายที่สุด เพราะจริง ๆ ก็ได้ใช้กำลังเยอะอยู่ นั่นก็คือการปั่นจักรยานมือ ที่จะใช้มือหมุนอย่างเดียว ซึ่งตัวจักรยานมือจะไม่ได้ใช้ขาเลย ตัดปัญหาการเจ็บเข่าไปได้ เพราะจะเน้นส่วนบน (Upper Body) อย่างเดียว ซึ่งเรียกได้ว่าเหนื่อยพอสมควร จะเจอเครื่องนี้ได้ตามฟิตเนสใหญ่ ๆ มีเจอไม่ค่อยบ่อย เพราะยังถือว่าไม่ได้เป็นที่นิยมมากนัก

ถ้าอยู่ในช่วงเดิน ถ้าจะเลือกวิธีเล่นเกมก็สามารถทำได้ แต่ไม่อยากแนะนำเท่าไหร่ เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุขณะใช้งาน หรือล้มบนลู่วิ่งไฟฟ้าได้ ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน หรือจะเลือกเป็นวิธีฟังเพลงก็สามารถช่วยลดความเบื่อหน่ายตอนอยู่บนลู่วิ่งได้ กับทางเลือกอีกแบบที่คนบนลู่ชอบทำ คือ เลือกดูซีรีส์ตอนเดิน/วิ่งบนลู่วิ่ง เพราะลู่วิ่งจะมีแท่นวางที่สามารถวางไอแพด หรือมือถือได้ ซึ่งถ้าชอบหูฟังแบบไหนก็อาจจะเตรียมไปให้เหมาะกับความชอบของเราด้วยก็ดี

ต้องพูดถึงข้อดีของแต่ละแบบก่อน การเดินชัน แน่นอนว่าช่วยลดแรงที่กระทำต่อข้อเข่าได้ดีกว่า น้ำหนักที่ลงไปในการเดินชันจะไม่หนักเท่าใช้กับตอนที่เราวิ่ง แรงกระแทกก็น้อยกว่า แต่อันนี้อาจจะนับเป็นข้อเสียของการเดินชันหลัก ๆ ก็คือ เรื่องปริมาณการเผาผลาญพลังงานอาจจะน้อยกว่าการเดินบนลู่วิ่งหากต้องใช้เวลาเท่า ๆ กัน แต่ทั้งนี้เราก็สามารถปรับระดับความชัน ความเร็วได้เพิ่มขึ้นหากต้องการจำนวนแคลอรี่ที่เผาผลาญเพื่อให้ใกล้เคียงกับการวิ่งได้ แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องเลือกที่ตัวเองทำแล้วชอบจะดีที่สุด เพราะถ้าถูกบังคับก็รู้สึกทรมาน ถ้าวิ่งแล้วเกิดปัญหา ควรหลีกเลี่ยง เพราะหากมีอาการบาดเจ็บก็จะทำให้เป็นอาการเรื้อรังไปตลอดได้

ก็สามารถตอบได้ว่าช่วยเซฟข้อเข่าได้ดีกว่า เพราะบนลู่วิ่งจะมีสปริง ทำให้รองรับจังหวะการวิ่งของเราได้ และกระจายแรงได้ดี แต่ว่าตัวข้อต่อสปริงนั้นก็มีอายุการใช้งานต่างกันออกไป โดยส่วนใหญ่ที่จะมีสปริงก็จะเป็นลู่วิ่งที่ราคาสูงขึ้นมาและมีฟังก์ชันการปรับเดินชันได้ด้วย แต่ถ้าเป็นลู่วิ่งราคาถูกจริง ๆ จะวิ่งแล้วรู้สึกว่าแข็ง ๆ

เนื่องจากการวิ่งเป็นการคาร์ดิโอ หากใช้เวลากับการคาร์ดิโอนานและ hear rate สูง ๆ ต่อกันเป็นเวลานานอย่างแรกที่จะรู้สึกได้คือร่างกายจะอ่อนเพลีย เลยอยากแนะนำว่าไม่ควรให้หัวใจเต้นในอัตราสูง ๆ เป็นเวลานานมากนัก และการคาร์ดิโอนั้นจะเน้นให้หัวใจเต้น เต้นเท่าไหร่ก็ถือว่าเต้น แต่แค่จะจัดไว้ในโซนไหนแค่นั้น และการเล่นเวท heart rate ก็จะไม่ได้สูงตลอดเวลา แต่จะสูงเฉพาะตอนที่เราต้องเริ่มทำจนถึงครบจำนวนภายในแต่ละเซ็ทแล้วก็จะรู้สึกว่าหัวใจเราเต้นอ่อนลง ณ เวลาพัก และสิ่งที่ต้องพึงระวังหากใครอยู่ในสายวิ่งแต่เน้นอัตราการเต้นของหัวใจสูงกว่าปกติมาก ๆ เป็นเวลานาน ๆ ก็มีโอกาสที่จะทำให้หัวใจวายเฉียบพลันได้ด้วย แต่อาการหัวใจวายเฉียบพลันก็ยังมีอีกหลายสาเหตุเช่นกัน แต่วิ่งก็สามารถเป็นหนึ่งในสาเหตุการเสียชีวิตได้ เพราะฉะนั้นถ้าเป้าหมายคือการทำให้หัวใจคุณแข็งแรง การที่ทำให้หัวใจเต้นในโซนไหนก็ได้ก็ถือว่าดีกับหัวใจแล้ว ขอแค่ขยับ ถ้าหัวใจวิ่งไปแตะโซน 5 บ่อย ๆ ก็สามารถให้หัวใจเต้นสูงระดับนั้นได้ แต่ควรหาเวลาพักให้เหมาะสมด้วย สมรรถนะของร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน พื้นฐานความทนทานไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นควรสำรวจตัวเองเป็นหลัก

นอกจากการว่ายน้ำหรือปั่นจักรยานอย่างที่ได้ยกตัวอย่างไปในช่วงต้น การเลือกทำการออกกำลังกายแบบ HIIT (High Intensity Interval Training) ก็เป็นอีกทางเลือกที่ดีเพราะจะให้หัวใจเต้นในระดับที่อยู่ในโซนสูง ๆ แต่การ HIIT จริง ๆ ก็ต้องดูร่างกายด้วย เพราะว่าถ้าลองทำจริง ๆ จะรู้สึกเหนื่อยมาก ซึ่งบางคนถ้าออกตามคลิปในยูทูปหรือ Social media ก็จะเห็นหลาย ๆ คลิปเขียนว่า HIIT แต่จริง ๆ นั่นอาจจะยังไม่ใช่ HIIT จริง ๆ แต่จะออกไปแนว Circuit training มากกว่า ซึ่งให้นึกภาพตามแบบนี้ HIIT จะเป็นการเหนื่อยที่เหนื่อยมาก ๆ แบบเหนื่อยที่สุด รองลงมาจะเป็น interval training คือจะเหนื่อยมากแต่ก็ยังเหนื่อยน้อยกว่า HIIT ส่วน Circuit training ก็จะเหนื่อยแต่เป็นเหนื่อยที่เราส่วนใหญ่ยังทนกันได้ แต่มีข้อแนะนำคือการที่เราจะละจากการวิ่งแล้วใช้ HIIT แทนนั้น ก็ทำได้ แต่แนะนำว่าไม่ควรทำ HIIT ทุกวัน เพราะร่างกายจะล้าได้ และการเทรนแบบ HIIT จะนิยมใช้กับนักกีฬามากกว่าเพื่อปลดล็อคศักยภาพ หรือเรียกได้ว่าปลดล็อคร่างทอง แต่การทำ HIIT ก็จะมีข้อดีหน่อยคือถ้าสร้างโปรแกรมดี ๆ ก็จะได้การเวทเทรนนิ่งไปในตัวด้วย

แต่ถ้าไม่อยากเหนื่อยมากแบบการเทรนด้านบน ก็สามารถลอง LISS (Low Intensity Steady State) เพราะจะเบากว่า แต่ก็เผาผลาญได้ดี สำคัญที่สุดคือขอแค่ขยับ จะไปปั่นจักรยานชมไม้ชมนกก็ไม่ผิด ขอแค่ขยับก็ถือเกิดประโยชน์ เราชอบแบบไหนก็เลือกให้เหมาะกับตัวเองจะทำได้นานที่สุด และไม่เกิดการหมดไฟ

และหลาย ๆ คนที่อาจจะมี fitness influencer เป็นแรงบันดาลใจก็ถือว่าเป็นเรื่องดี แต่ก่อนจะไปทำแบบที่เราเห็นในวิดีโอที่เราดูกันนั้น ก็ต้องมาประเมินกับตัวเองก่อนว่าทำแล้วชอบไหม เหนื่อยเกินไปหรือเปล่า เพราะการที่เราเห็นแรงบันดาลใจของเราออกแล้วอาจดูสนุกแต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะชอบไปซะทั้งหมด ต้องสำรวจตัวเองเสมอ เพราะการสำรวจตัวเองจะทำให้คุณอยู่กับเป้าหมายของคุณได้นานขึ้น ก่อนและหลังรับสารจากอินเตอร์เน็ต ก็ควรมีวิจารณญาณเสมอ

หากตอบแบบเป็นกลาง แล้วแต่คนชอบ แล้วแต่สาย ถ้าชอบเวทก่อนก็เวทแล้วค่อยวิ่ง และถ้าชอบวิ่งก็ไปวิ่งก่อนเวท ตัวอย่างสายฟิตเนสที่เน้นเวทก่อนวิ่ง แน่นอนว่าเราต้องเก็บแรงไว้ให้สิ่งที่ตัวเองโฟกัสมากกว่า นั่นก็คือการเวท แต่ถ้ารักการคาร์ดิโอก็ต้องเปลี่ยนเป้าหมาย เอาแรงไปลงกับการคาร์ดิโอแทน ในเรื่องของการเผาผลาญพลังงาน ถ้ามองภาพรวมไม่ได้ต่างกันขนาดนั้น (ถ้าเวลาที่ใช้โดยรวมเท่ากันเป็นตั้งต้น) เรียกได้ว่าชอบแบบไหนก็ให้เลือกแนวนั้น ไม่มีแบบไหนผิด แต่แรงอาจจะตกได้ถ้าเกิดเราเก็บเวทไว้แล้วลงพลังไปกับการคาร์ดิโอซะเยอะ เพราะงั้นก็ต้องบาลานซ์พละกำลังของตัวเองดี ๆ ว่าช่วงวิ่งจะเอาออกประมาณเท่าไหร่ ช่วงเวทจะเอาออกโดยประมาณเท่าไหร่

อันนี้เสริมเพิ่มเติมสำหรับใครที่กำลังมองหาอาหารเสริมช่วงก่อนและหลังออกกำลังกาย (รวมทั้งเวทและคาร์ดิโอ) แนะนำเป็นอาหารเสริมที่เป็นกรดอะมิโน พวก BCAA (เจอได้ในเวย์โปรตีน/ โปรตีนพืช) หรือพวก EAA จะช่วยในเรื่องของความเหนื่อยล้า แต่ถ้าเน้นเป็นก่อนออกกำลังกายจริง ๆ แนะนำเป็นพวกคาเฟอีน ให้ร่างกายเกิดการตื่นตัว ซึ่งก็สามารถเลือกเป็นกาแฟดำได้ หรือถ้าเป็นอีกทางเลือกก็ทานเป็น Pre-workout แต่ pre-workout ก็จะมีผลต่างกันออกไป แต่โดยส่วนตัวที่เจอมาคนที่ทานจะรู้สึกยิบๆ ตามตัว เหมือนมดไต่ รู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้น และบางตัวก็จะมีกรดอะมิโนมาให้พร้อม ส่วนใครที่จะทานเครื่องดื่มชูกำลังแทนก็ได้ แต่ให้ทานในปริมาณที่เหมาะสมต่อวัน

หรือถ้าใครจะไม่ทานอาหารเสริมอะไรเลยก่อนออกกำลังกายก็ไม่ได้ผิดอะไร ยังสามารถออกได้ตามปกติ

หากต้องวิ่งนานจริง ๆ เช่น ระยะทาง 20 กิโลเมตร แนะนำให้ทานพวก Energy drink หรือ energy gel ไม่แนะนำของกินที่ชิ้นใหญ่ที่ให้พลังงานเยอะ แต่จะให้เน้นเป็นชิ้นเล็กแต่พลังงานเยอะแทน ซึ่งถ้าจะเน้นของที่โหลดตอนวิ่ง จะแนะนำเป็นสารอาหารประเภทคาร์บ

แต่ถ้าใครที่เป็นสาย low-carb อยู่แล้วแต่ยังรักในการวิ่ง แนะนำให้รับประทานสารอาหารประเภทไขมันเข้าไปแทน แต่ให้เลือกแหล่งของไขมันให้เหมาะสม เช่น ไขมันดี หรือไขมันที่ไม่อิ่มตัว แต่ก็ไม่ใช่ว่าไขมันอิ่มตัวกินไม่ได้ กินได้ทั้งหมด ซึ่งการเอาพลังงานออกมาใช้ให้ติดลบนั้นสำคัญกว่า อยู่ที่เราจะบริหารจัดการกับร่างกายเราอย่างไร เมื่อได้รับสารอาหารเหล่านี้เข้าไปแล้ว แต่หากสงสัยว่าแล้วทำไมไม่เอาโปรตีนมาแทนที่ไขมัน ต้องอธิบายให้เข้าใจก่อนว่าโปรตีนนั้นมีไว้ซ่อมแซมร่างกาย จะเอาไปใช้กับกล้ามเนื้อ  แต่ไขมันสามารถกลายมาเป็นแหล่งพลังงานแทนได้ โดยตับจะเปลี่ยนให้กลายเป็นกรดไขมัน แล้วเอาสารคีโตนออกมาเป็นพลังงานให้ร่างกายแทน

ถ้าพูดแบบพื้น ๆ การที่หัวใจเต้นโซน 2 ถือว่าไม่หนักไปและไม่เบาไป (แต่ไม่ว่าจะโซนไหนก็สามารถเผาผลาญไขมันได้ทุกโซน) แต่สำหรับบางคนก็มองว่าโซน 2 นั้นยังเบาไปสำหรับเขาก็ได้

อันดับแรกต้องบอกก่อนว่านาฬิกาที่เราใส่ไม่ได้แม่นขนาดนั้น มีความคลาดเคลื่อนได้ แต่ถ้าจะใส่ก็ไม่เป็นไร เพราะเราอาจจะได้รู้คร่าว ๆ ได้ แต่ไม่อยากให้ซีเรียสกับตัวเลขที่ปรากฏมากนักแล้วมากดดันตัวเองจนไม่อยากทำให้เราไม่อยากออกกำลังกาย แต่ถ้าไม่ได้ใส่นาฬิกาก็สามารถวางมือบนเครื่องวัด heart rate ของลู่วิ่งได้เช่นกัน ต้องสำรวจดี ๆ ว่าอยู่ตรงด้านข้างหรือด้านหน้าของเรา

ข้อเสียที่เห็นได้ชัดก็คือจะมีอาการล้า ต้องมาดูอีกทีว่าเต้นสูงมาก ๆ นานแค่ไหน แล้วก็ต้องจัดสรรเวลาพักให้พอเหมาะ แต่ข้อดีก็มี คือ ระบบการทำงานของหัวใจแข็งแรง แต่ใดใดคือต้องพักให้พอ ไม่ว่าจะออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอหรือเวทเทรนนิ่ง สิ่งที่จำเป็นอีกอย่างที่ขาดไม่ได้ คือ การพักให้เพียงพอ เพราะให้คิดเป็นภาพแบบนี้คือถ้าซ้อมหนักพักน้อย ร่างกายจะสู้แบบเดิมไม่ได้หรือไม่ถึง เพราะฉะนั้นต้องพักให้เพียงพอ เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการฝึกร่างกายของคุณเอง ถ้าร่างกายพักน้อยแต่ออกหนักมากต่อเนื่องกันนานๆ ร่างกายก็จะพังได้

การวิ่งจะฝึกปอดได้ดีกว่า เพราะการเดินชันไม่ได้เข้มข้นเท่ากับการวิ่ง การดึงออกซิเจนไปใช้ของการวิ่งก็เยอะกว่า แต่ถ้าเหนื่อยมาก ๆ ควรจะมีการจิบน้ำ เพราะจะช่วยให้ร่างกายทดแทนน้ำที่เสียไป และระบบไหลเวียนโลหิตยังคงทำงานได้ปกติ เลือดจะได้ไม่ข้นเกิน ถ้าชอบวิ่งก็แนะนำให้จิบเป็นพัก ๆ ถ้าอึกเดียวใหญ่ ๆ เลยก็จะทำให้จุกระหว่างการออกกำลังกายได้

ถ้าระยะยาวก็คุ้มถ้าเราจะมีลู่วิ่งไว้ที่บ้าน แต่เรื่องค่าไฟก็มีส่วนที่เราต้องคิดเพิ่มด้วย แต่ก็มีอีกแบบถ้าใครกังวลเรื่องค่าไฟก็จะมีอีกตัวเลือก คือ Assult Runner เป็นลู่วิ่งที่ไม่ใช่ไฟฟ้า แนะนำตัวเลือกราคาที่ดีถ้าจะซื้อมาใช้ระยะยาว ตั้งต้นก็ควรจะเป็นประมาณราว ๆ 30,000 บาท แต่ถ้ามีแบรนด์ไหนดวงใจแล้วมองว่าซื้อแล้วสบายใจก็ได้เลย หากไม่ได้ติดเรื่องงบประมาณ

เรื่องแรกที่ควรระวังหากใช้เท้าเปล่าบนลู่วิ่งไฟฟ้า คือ เรื่องของไฟดูด เราไม่มีทางรู้ว่าไฟจะรั่วตอนไหนต่อให้เป็นเครื่องดี ๆ ก็ตาม เพราะเครื่องก็ยังต้องใช้กระแสไฟอยู่ การเลือกรองเท้าใส่บนลู่วิ่งนั้นก็สำคัญควรเลือกให้เหมาะ การมีรองเท้าก็ช่วยลดความเสี่ยงไฟดูดเมื่ออยู่บนลู่วิ่งได้ แต่ถ้าเราเท้าเปล่านั่นก็คือความเสี่ยงจะสูงขึ้นในการที่จะถูกไฟดูด เพราะระหว่างการวิ่ง สายพานก็ยังคงทำงานต่อไป และเหงื่อก็ออกต่อไป บางทีมีน้ำหยดก็สามารถเป็นสื่อได้

ลู่วิ่งไฟฟ้าจะมีแม่เหล็กเอาไว้ติดกับเสื้อและตัวเครื่องเพื่อหยุดในกรณีฉุกเฉิน แต่คนส่วนใหญ่ละเลย และถ้าไม่ใช้แม่เหล็ก เครื่องจะมีปุ่มให้กดหยุด แต่วิธีการหยุดแบบใช้มือจับด้านข้างแล้วยกตัวขึ้นก็มีโอกาสให้หน้าทิ่มได้เช่นกัน ทางที่ดีควรติดเซฟตี้ทุกครั้ง

ถ้าเน้นให้ได้กล้ามเนื้อส่วน lower body เยอะ ก็แนะนำให้ใช้เครื่องเดินบันไดจะเหมาะกว่า เพราะการเดินบน ladder machine จะใช้กล้ามเนื้อขาเยอะกว่า เหมือนเราได้ฝึกขาไปในตัว แต่การเดินชันบนลู่ก็ได้กล้ามเนื้อ แต่ไม่ได้เยอะเท่า ladder machine ซึ่งราคาเครื่องเดินบันไดจะมีราคาที่สูงมาก โดยส่วนใหญ่แบบดี ๆ ก็เริ่มที่ราคาราว ๆ แสน

แนะนำไปแล้วข้างต้น แต่ถ้าให้แนะนำแบบเร็ว ๆ ก่อนวิ่งแนะนำเป็น pre-workout กับกรดอะมิโน

เสริมนิดหน่อยถ้าเป็นอาหารเสริมที่ควรทานสำหรับคนชอบวิ่งหรือนักวิ่ง ก็คือ แคลเซียม เพราะร่างกายมีการเสื่อมของกระดูก และต่อมาคือ Vitamin B Complex ช่วยในเรื่องระบบประสาท และระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ส่วนตัวถ้าไม่ได้กินบีคอมเพลกซ์จะรู้สึกว่าสมองล้า ดูไม่เฟรช และอีกหลายๆ ตัวที่สำคัญแนะนำให้ทาน คือ วิตามินซี, Fish oil, Zinc และวิตามิน D3 ซึ่งวิตามินดี 3 นี้จะช่วยให้การดูดซึมแคลเซียมดีขึ้นด้วย

แต่ถ้ามองในเรื่องของโปรตีน แนะนำเป็นเวย์โปรตีน isolate เพราะทานง่าย และเป็นที่นิยม (สัดส่วนโปรตีนควรทานให้ถึงความต้องการของร่างกายแต่ละคนต่อวันด้วย)