ถ้ากำลังจะเลือกซื้อหูฟังสักตัว เชื่อว่าคำว่า “ไดร์เวอร์” (Driver) ต้องผ่านหูผ่านตาคุณมาแน่นอน หลายคนอาจสงสัยว่าไดร์เวอร์หูฟังคืออะไร ทำไมสเปกนี้ถึงถูกยกมาพูดถึงเสมอๆ บางรุ่นชูจุดขายว่าใช้ไดร์เวอร์ขนาดใหญ่ บางรุ่นบอกว่าใช้เทคโนโลยีไดร์เวอร์เฉพาะตัว แล้วจริงๆ แล้ว ไดร์เวอร์หูฟังสำคัญกับเสียงขนาดไหน? บทความนี้จะพาเจาะลึกแบบเข้าใจง่าย เพื่อเป็นข้อมูลก่อนตัดสินใจซื้อหูฟังคู่ใจ

บรรณาธิการ
Table of Contents
ไดร์เวอร์หูฟัง คืออะไร
ไดร์เวอร์หูฟัง (Headphone Driver) คือส่วนประกอบหลักที่ทำหน้าที่เปลี่ยนสัญญาณไฟฟ้าเป็นเสียง เพื่อให้ผู้ฟังได้ยินเสียงดนตรี เสียงพูด หรือเสียงอื่นๆ ที่ออกมาจากหูฟัง โดยไดร์เวอร์เปรียบเสมือนลำโพงขนาดเล็กที่ติดตั้งอยู่ภายในตัวหูฟัง
โครงสร้างของไดร์เวอร์หูฟัง
ไดร์เวอร์หูฟังทั่วไป จะมีโครงสร้างหลัก 3 ส่วน ได้แก่
- แม่เหล็ก (Magnet) สร้างสนามแม่เหล็กที่สำคัญต่อการทำงานของไดร์เวอร์ มีหลายประเภท เช่น แม่เหล็กนีโอไดเมียม (Neodymium) ซึ่งให้พลังงานสูง น้ำหนักเบา
- ขดลวดเสียง (Voice Coil) เป็นลวดทองแดงที่พันรอบอยู่ เมื่อรับสัญญาณไฟฟ้าจากเครื่องเล่นเสียง จะสร้างกระแสไฟฟ้าไปยังขดลวดนี้
- ไดอะเฟรม (Diaphragm) เป็นแผ่นบางๆ มักทำจากวัสดุพิเศษ เช่น ไมลาร์, ไททาเนียม, หรือไบโอเซลลูโลส ทำหน้าที่ “สั่นสะเทือน” เมื่อได้รับแรงจากขดลวดและสนามแม่เหล็ก การสั่นสะเทือนนี้จะผลักดันอากาศจนเกิดเป็น “คลื่นเสียง” ซึ่งหูของเรารับรู้เป็นเสียงเพลงหรือเสียงพูด

หลักการทำงานของไดร์เวอร์หูฟัง
- รับสัญญาณไฟฟ้า เมื่อเปิดเพลงหรือเสียงใดๆ จากอุปกรณ์ เช่น สมาร์ทโฟน, คอมพิวเตอร์ หรือเครื่องเล่นเพลง สัญญาณเสียงจะถูกส่งออกมาในรูปแบบ “สัญญาณไฟฟ้า” ผ่านสายหูฟัง (หรือไร้สายกรณีหูฟังบลูทูธ) เข้าสู่หูฟัง
- เปลี่ยนสัญญาณไฟฟ้าเป็นการเคลื่อนไหว สัญญาณไฟฟ้านี้จะไหลเข้าสู่ “ขดลวดเสียง” (Voice Coil) ที่อยู่ภายในไดร์เวอร์
- ขดลวดเสียงวางอยู่ใกล้ “แม่เหล็ก” (Magnet)
- เมื่อกระแสไฟฟ้าไหลผ่านขดลวด จะเกิดสนามแม่เหล็กชั่วคราวที่ไปผลักหรือดูดกับแม่เหล็กหลัก
- ทำให้ “ไดอะเฟรม” (Diaphragm) หรือแผ่นฟิล์มบางๆ ที่เชื่อมต่อกับขดลวดเกิดการ “สั่น” ขึ้นมา
- การสั่นสะเทือนสร้างคลื่นเสียง การสั่นของไดอะเฟรมจะไปกระทบกับอากาศรอบๆ ตัวมัน
- การขยับไปมาของไดอะเฟรมในอากาศนี้ จะสร้าง “คลื่นเสียง” (Sound Wave)
- คลื่นเสียงเหล่านี้เดินทางเข้าสู่ช่องหู และสมองจะรับรู้เป็น “เสียง” ที่ได้ยิน ไม่ว่าจะเป็นเสียงร้อง เบสดนตรี หรือรายละเอียดอื่นๆ
- ลักษณะเสียงขึ้นอยู่กับไดร์เวอร์ คุณภาพของเสียงที่ได้ (ความกว้างของย่านเสียง รายละเอียด ความชัด ความลึก) ขึ้นอยู่กับ
- ชนิดของไดร์เวอร์ (Dynamic, BA, Planar ฯลฯ)
- วัสดุและขนาดของไดอะเฟรม
- การจูนเสียงโดยวิศวกรของแบรนด์หูฟัง

ประเภทของไดร์เวอร์หูฟัง
- Dynamic Driver (ไดนามิกไดร์เวอร์) พบมากที่สุดในหูฟังทุกกลุ่มราคา ใช้หลักการสร้างเสียงแบบเดียวกับลำโพงทั่วไป คือใช้แม่เหล็ก, ขดลวดเสียง และไดอะเฟรม
- จุดเด่น
- ให้เสียงเบสแน่น หนักแน่น
- ควบคุมการสั่นของไดอะเฟรมได้ดี
- ทนทาน ผลิตง่าย ราคาประหยัด
- จุดด้อย
- ถ้าออกแบบไม่ดี รายละเอียดเสียงอาจด้อยกว่าแบบอื่น
- Balanced Armature Driver (บาลานซ์ อาร์มาเจอร์) นิยมใช้ในหูฟัง In-Ear Monitor (IEM) ระดับสูง โครงสร้างซับซ้อน ขนาดเล็ก ไม่มีไดอะเฟรมใหญ่แบบ Dynamic
- จุดเด่น
- ให้รายละเอียดเสียงกลาง-แหลมดีเยี่ยม
- ขนาดเล็ก ใส่ได้หลายตัวในหูฟังหนึ่งข้าง (Multi-BA)
- จุดด้อย
- เสียงเบสอาจน้อยหรือบาง หากไม่มีการผสมกับ Dynamic Driver
- Planar Magnetic Driver (ไดร์เวอร์แบบแผ่นแม่เหล็ก/แพลนาร์) ใช้แม่เหล็กวางเรียงสองฝั่งของแผ่นไดอะเฟรมที่ฝังขดลวดไว้ พบในหูฟัง Over-Ear ระดับ Studio หรือ High-End
- จุดเด่น
- ให้รายละเอียดเสียงสูง เสียงโปร่งใส เปิดกว้าง
- Response เร็ว ตอบสนองเสียงเปลี่ยนแปลงได้ไว
- จุดด้อย
- ขนาดใหญ่ น้ำหนักมาก ราคาสูง

- Electrostatic Driver (ไดร์เวอร์ไฟฟ้าสถิต) ใช้แรงไฟฟ้าสถิตขับแผ่นไดอะเฟรมบางมาก ให้อยู่ระหว่างขั้วไฟฟ้า (Electrodes) พบในหูฟัง Hi-End เท่านั้น
- จุดเด่น
- รายละเอียดเสียงดีที่สุด ใสกริ๊บ สมจริงมาก
- เสียงโปร่ง มิติเสียงชัดเจน
- จุดด้อย
- ต้องใช้แอมป์เฉพาะ ราคาสูงมาก ดูแลยาก
- Hybrid Driver (ไฮบริดไดร์เวอร์) ผสมผสานไดร์เวอร์ 2 ประเภทขึ้นไป (เช่น Dynamic + Balanced Armature) มักใช้ในหูฟัง IEM ระดับกลาง-สูง
- จุดเด่น
- ได้จุดเด่นของแต่ละประเภท เช่น เบสแน่นจาก Dynamic + รายละเอียดจาก BA
- ให้เสียงครบทุกย่าน (เบส, กลาง, แหลม)
- จุดด้อย
- ถ้าจูนไม่ดี เสียงอาจไม่บาลานซ์หรือฟังดูแปลก
ตารางเปรียบเทียบประเภทไดร์เวอร์
ประเภทไดร์เวอร์ | จุดเด่น | จุดด้อย |
Dynamic | เบสแน่น ทนทาน | รายละเอียดน้อยลงในบางรุ่น |
Balanced Armature | รายละเอียดสูง ขนาดเล็ก | เบสบาง ต้องจูนร่วมกับ Dynamic |
Planar Magnetic | โปร่ง รายละเอียดสูง | ใหญ่ หนัก แพง |
Electrostatic | รายละเอียดสูงสุด สมจริง | แพงมาก ใช้กับแอมป์เฉพาะ |
Hybrid | ได้ทุกย่านเสียง | เสียงขึ้นกับการจูน |
ขนาดของไดร์เวอร์หูฟัง
- In-Ear (เอียร์บัด/หูฟังจุก) ขนาดไดร์เวอร์มักอยู่ที่ 6–12 มิลลิเมตร (มม.) เน้นขนาดเล็ก พกพาง่าย ตอบสนองเสียงเร็ว
- On-Ear (หูฟังครอบหูแบบวางบนใบหู) ขนาดไดร์เวอร์โดยเฉลี่ย 20–40 มม.
- Over-Ear (หูฟังครอบหูเต็มใบหู) ขนาดไดร์เวอร์ส่วนใหญ่ 30–50 มม. หรือมากกว่า
ขนาดไดร์เวอร์มีผลต่อเสียงอย่างไร
- เบส (Bass) ไดร์เวอร์ขนาดใหญ่สามารถขยับอากาศได้มากกว่า ทำให้เสียงเบสดังกังวานและลึกแน่นกว่าไดร์เวอร์เล็ก
- เสียงกลาง/เสียงแหลม (Mid/Treble) ขนาดไดร์เวอร์มีผลน้อยกว่า "การจูน" หรือวัสดุ แต่โดยทั่วไปไดร์เวอร์เล็กจะตอบสนองความถี่สูงได้ว่องไวกว่า
- Soundstage (เวทีเสียง) หูฟังไดร์เวอร์ใหญ่จะให้เวทีเสียงกว้างและโอบล้อมมากกว่า
ขนาดไดร์เวอร์ = คุณภาพเสียงเสมอไปไหม
ไม่เสมอไป ไดร์เวอร์ใหญ่ไม่ได้หมายความว่าคุณภาพเสียงจะดีกว่าเสมอไป การออกแบบ, วัสดุของไดอะเฟรม, เทคโนโลยีภายใน และการจูนเสียงมีผลกับคุณภาพเสียงพอๆ กับขนาดไดร์เวอร์ หูฟังที่ใช้ไดร์เวอร์ขนาดเล็ก แต่จูนเสียงดี ก็สามารถให้รายละเอียดและมิติเสียงที่ยอดเยี่ยมได้เช่นกัน
ไดร์เวอร์มีผลกับคุณภาพเสียงอย่างไร
ไดร์เวอร์มีผลกับคุณภาพเสียงของหูฟังโดยตรง เพราะเป็นส่วนที่แปลงสัญญาณไฟฟ้าให้กลายเป็นเสียงที่เราได้ยิน ดังนั้นคุณสมบัติของไดร์เวอร์ ทั้งขนาด วัสดุ การออกแบบ และเทคโนโลยีที่ใช้ ล้วนมีผลต่อรายละเอียดเสียง ความชัดเจนของเสียงแต่ละย่าน ความลึกของเบส มิติเวทีเสียง และการแยกแยะชิ้นดนตรี ส่งผลให้หูฟังแต่ละรุ่นสามารถถ่ายทอดเสียงเพลงหรือเสียงพูดได้มีอรรถรส สมจริง และแตกต่างกันออกไปตามคุณภาพของไดร์เวอร์ที่เลือกใช้
สรุป ทำไมไดร์เวอร์หูฟังสำคัญในการเลือกซื้อหูฟัง
ไดร์เวอร์หูฟังสำคัญในการเลือกซื้อหูฟังเพราะเป็นองค์ประกอบหลักที่กำหนดคุณภาพเสียง ลักษณะโทนเสียง และประสบการณ์การฟังทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียด ความกว้างของเวทีเสียง ความชัดเจนของเบส เสียงกลาง และเสียงแหลม ดังนั้นการเลือกหูฟังที่ใช้ไดร์เวอร์ที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับแนวเพลงหรือรูปแบบการฟังที่เราต้องการ จะช่วยให้ได้เสียงที่ตรงใจและประทับใจมากที่สุดจากการใช้งานหูฟังคู่นั้น
บทส่งท้าย
จะเห็นได้ว่า “ไดร์เวอร์หูฟัง” คือหัวใจสำคัญที่กำหนดทั้งคุณภาพเสียงและประสบการณ์การฟังของคุณ ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดเสียง ความหนักแน่นของเบส หรือความกว้างของเวทีเสียง ทุกอย่างล้วนมีต้นกำเนิดมาจากไดร์เวอร์ทั้งสิ้น ดังนั้น การเลือกหูฟังที่เหมาะสมกับสไตล์และความต้องการ จึงควรให้ความสำคัญกับประเภท ขนาด และคุณภาพของไดร์เวอร์ควบคู่ไปกับปัจจัยอื่นๆ เสมอ หากกำลังมองหาหูฟังไร้สายหรือหูฟังบลูทูธดีๆ สักรุ่น อย่าลืมเข้าไปอ่าน หูฟังบลูทูธ ยี่ห้อไหนดี