หูฟัง Bose เป็นหูฟังที่หลาย ๆ คนก็คงรู้จักกันเพราะว่า Bose นั้นถ้าพูดถึงเสียงแล้วก็ถือได้ว่าเป็นอีกแบรนด์ที่มีความโดดเด่น สำหรับใครที่ไม่รู้ว่าจะซื้อหูฟัง Bose รุ่นไหนดี เราจึงอยากมาแนะนำหูฟังต่าง ๆ ตั้งแต่เหมาะกับใคร มีอะไรที่พิเศษ ข้อดีข้อเสีย และยังมีอธิบายว่าทำไม Bose ถึงเด่นในเรื่องของเสียงสำหรับคนที่สงสัยและมีซีรีส์อะไรมาแล้วบ้าง รวมไปถึง Codec ที่หลายคนคงจะงงว่ามันต่างกันยังไง
บรรณาธิการ
Table of Contents
6 หูฟัง Bose รุ่นไหนดี คุณภาพเสียงดี เหมาะกับทุกคน สำหรับปี 2024
หูฟัง Bose Noise Cancelling พร้อมดีไซน์สวยงาม ใครที่ไม่อยากฟังเสียงรบกวนเวลาเรียนหรือเดินทางก็ใช้อันนี้ได้เลย คุณภาพในการกันเสียงถือได้ว่าดีระดับเสียงคนคุยในร้านหรือเพื่อนล้างจานก็ไม่ได้ยิน เวลาโทรศัพท์เสียงก็ชัดเจนแล้วก็ไม่มีเสียงรบกวนเท่าไร หูฟังสามารถหมุนได้ 90 องศาทำให้สามารถวางบนคอได้และยังน้ำหนักเพียง 254 กรัมจึงใส่แล้วรู้สึกเบาและหูฟังก็ยังนุ่ม สั่งการหูฟังด้วยการกดปุ่ม 3 ปุ่ม แอพ Bose Music จะทำให้ใช้หูฟังได้เต็มประสิทธิภาพและทำให้เลือกได้ว่าต้องการกันเสียงเท่าไรตั้งแต่ระดับ 0-10 สามารถต่อ Bluetooth หรือจะเอาสายเสียบกับหูฟังและโทรศัพท์ก็ได้
รีวิวจากผู้ซื้อ: ไช่ตัวนนี มา6เดือนละ ผมบอกเลยดีรอบด้าน ฟั้งเพลง ได้ลายละเอียดดีมาก ผมมีWF-1000XM อีกตัว แทบกันแล้ว Bose 700 เรืองเบสหนักไม่เท่าWF-1000XMแต่ไม่ไช่ว่าเสียงเบสไม่ดีแต่เป็นเบสคนละสไตล์กัน ส่วน Noise Cancelling แทบกลับบWF-1000XM บอกตามตรง WF-1000XM ดีกว่า เรืองไมโครโฟน Bose 700โคตรดี ส่วน WF-1000XM ไมโครโฟนสู้ไม่ได้เลย Bose 700ผมไช่กลับ PC ส่วนWF-1000XMผมไช่กลับมือถือ
หูฟัง Bose ไร้สาย Noise Cancelling รุ่นใหม่และเป็นตัวท็อป จุดเด่นของหูฟังอันนี้คือความ Comfort หรือความสบาย จึงทำให้มีน้ำหนักเพียง 240 กรัมทำให้ใส่แล้วไม่รู้สึกหนักและหูฟังเอียร์แพดก็นุ่มทำและยังใส่ได้นานโดยไม่ร้อน ในส่วนของการตัดเสียงนั้นถือได้ว่าเป็นหูฟังที่ตัดเสียงระดับกลางและสูงได้ดีมาก นั่งบนเครื่องบินคือเสียงเครื่องดังแค่ 1 ใน 8 เลย ในส่วนของไมโครโฟนถือว่ากันเสียงได้ดีระดับหนึ่งถ้าเดินบนถนนก็จะได้ยินเสียงคร่าว ๆ แต่กันเสียงลมพัดใส่ได้ดี นอกจากนี้ก็มี Active EQ ช่วยรักษาสมดุลของเสียงเพลง สั่งการหูฟังด้วยการกดปุ่ม 4 ปุ่ม ใครที่อยากตกปรับแต่งก็ใช้แอพ Bose Music ที่จะทำให้ใช้หูฟังได้เต็มประสิทธิภาพและยังช่วยให้ปรับแต่งเสียงหูฟังได้ตามใจชอบ
รีวิวจากผู้ซื้อ: สุดท้ายได้รับมันหลังจากที่รอนานมีสีดำแทนสีขาวเนื่องจากหมดสต็อกหลังจากที่ฉันได้สั่งซื้อและทำการชำระเงินแล้วมันถูกสื่อสารโดยเรือล่วงหน้าแม้ว่าแม้จะมีบางส่วนของความคิดเห็นเฉลี่ยในสื่อสังคมผมคิดว่า QC45เป็นหูฟัง ANC ที่มั่นคงมากที่มีความสามารถในการตัดเสียงรบกวนที่ดีเยี่ยมและคุณภาพเสียงที่ดีที่สำคัญที่สุดคือความสะดวกสบายในการสวมใส่ฉันไม่ได้สัมผัสกับแรงดันห้องโดยสารใดๆและปุ่มทางกายภาพเป็นประโยชน์มาก
หูฟัง Bose เหมาะสำหรับคนที่อยากได้หูฟัง Noise Cancelling เพื่อเล่นเกมหรือเอาไว้ใช้ฟัง ซึ่ง Noise Cancelling ของ Bose ก็ช่วยให้ได้เสียงเกมที่ดีกว่าและทำให้เราดื่มด่ำไปกับเกมได้ดีกว่าหูฟัง Gaming ทั่วไป นอกจากนี้เสียงเวลาฟังเพลงก็ถือว่าดี วัสดุส่วนใหญ่ทำจากพลาสติกและมีแผ่นรองเป็นหนังเพิ่อให้ใส่สบาย น้ำหนักอยู่ที่ 263 กรัม เสียงของไมโครโฟนก็ถือว่าดีอีกเช่นกัน สามารถต่อกับแอพของ Bose ได้เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพเต็มที่
รีวิวจากผู้ซื้อ: โคตรดีย์ ปกติใช้หูฟังของ Bose อยู่แล้ว ไม่เคยสงสัยเรื่องคุณภาพของหูฟังยี่ห้อนี้
เล่นเกมคือดีย์ ฟังเพลงก็ยังโอเคมาก acoustic noise cancelling คือเทพเหมือนเดิม
หูฟัง Bose True Wireless รุ่นใหม่ล่าสุด เหมาะสำหรับคนที่อยากได้หูฟังทรงแปะหูเพราะหูฟังนี้ดีไซน์มาให้เข้ากับช่องหู ถ้าใส่ไม่พอดีก็มีจุกหูฟัง 3 ขนาดและห่วงยึด 3 คู่ให้ปรับให้พอดีกับหู น้ำหนักเพียง 6.24 กรัม นอกจากนี้วัสดุที่ใช้ทำให้ใส่สบายไม่ว่าจะเป็นตอนที่ใส่นาน หูฟัง Earbuds อันนี้ถือได้ว่าเป็นหูฟังกันเสียงที่ดีสุดที่สามารถซื้อได้ในบรรดา Earbuds และยังกันเสียงระดับต่ำได้จนเหลือ 1 ใน 8 นอกจากนี้หูฟังยังสามารถปรับเสียงและ ANC ให้เหมาะกับหูของแต่ละคนได้ด้วยตัวมันเองทุกครั้งที่ใส่เพราะการใส่หูฟังแต่ละครั้งมันครอบคลุมไม่เหมือนกัน ทำให้ได้ยินเสียงเพลงชัดเจน คุณภาพของไมโครโฟนถือได้ว่าอยู่ในระดับปกติ มีเสียงเข้าและลมเข้าบ้าง สามารถสั่งการหูฟังด้วยการเอามือกดหูฟังและใช้แอพ Bose ในการจัดค่า ANC หรือปรับเสียง
รีวิวจากผู้ซื้อ: คุ้มค่ามาก กับการตัดเสียงที่เลือกใช้ได้ 10 ระดับ
เสียงดีกว่ายี่ห้อผลไม้เยอะมาก หลังปรับ EQ
ชอบในชอบในชอบครับ รักมาก
หูฟัง Bose ไร้สายที่ถือว่าดีที่สุดในตลาดสำหรับคนที่อยากออกกำลังกายหรือเล่นกีฬา จุกหูฟังที่ดีไซน์มาให้หลุดยากและใส่แล้วไม่เจ็บช่องหู นอกจากนี้วัสดุที่ใช้ก็เป็นพลาสติกและน้ำหนักเพียง 6.8 กรัมซึ่งน้ำหนักและความทนทานเป็นอะไรที่สำคัญกับการออกกำลังกาย ในส่วนของกันเสียงก็ไม่กันมากเท่าไรซึ่งเป็นเรื่องที่ดีเพื่อให้รับรู้สภาพแวดล้อมและหลีกเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุ คุณภาพของไมโครโฟนสามารถกันเสียงไมโครเวฟหรือเสียงลมเข้ามานิดนึง สามารถสั่งการหูฟังด้วยการเอามือกดหูฟังและใช้แอพ Bose ในการจัดค่า
รีวิวจากผู้ซื้อ: เบากว่ารุ่นก่อน เล็กกว่า ใส่สบาย กระชับ เสียงดี แต่ยังไม่ได้เบิร์น คุ้มค่ามาก เคสก็เล็กลงพกง่าย สีสวยงาม คุ้มสุดๆ
สำหรับใครที่กลัวหูฟังใส่แล้วจะหลุดหรือคนที่ไม่ต้องการ True Wireless หูฟัง Bose Wireless อันนี้ก็มีสายมาให้เหมาะสำหรับคนที่ออกกำลังกายหรือนักกีฬา นอกจากนี้ยังออกแบบมาให้เกาะที่หูได้แน่นแม้ว่าจะออกกำลังกายอยู่ น้ำหนักอยู่ที่ 22.7 กรัม ในส่วนของกันเสียงก็ไม่ค่อยกันเท่าไรเพื่อให้คนออกกำลังกายรู้ว่าเกิดอะไรบ้างรอบ ๆ ตัว เสียงเพลงก็ปกติไม่ได้มีเสียงเบสที่มาก ไมโครโฟนก็ถือได้ว่าปกติมีเสียงลมเข้ามา สั่งการหูฟังด้วยการกดปุ่ม 1 ปุ่ม สามารถต่อกับแอพของ Bose ได้
รีวิวจากผู้ซื้อ: คุณภาพเสียงดีมาก ห้อยคอสะดวกไม่หลุดหายง่าย ไมค์ชัด
ทำไม Bose ถึงดังเรื่องเสียง?
ก่อนอื่นก็เริ่มจากทำไม Bose ถึงมาดังในเรื่องของเสียงหรือ Bose of Sound
- บริษัท Bose ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1964 โดย Amar G. Bose เพราะเขาเห็นว่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเสียงนั้นออกแบบมาไม่ดีพอให้คนฟัง เขาจึงได้ทำการค้นคว้าต่าง ๆ เพื่อสร้างเครื่องเสียงที่ดีที่สุด ถือได้ว่าบริษัทเขาสร้างมาเพื่อเสียงเลยก็ว่าได้
- ซึ่งในปี ค.ศ. 1966 Bose ได้ทำการออกเครื่องเสียง 2201 Speaker สร้างเพื่อมาวางตรงมุมห้องแต่เสียงกลับออกมาไม่ดีพอสำหรับคนฟังทำให้ไม่มีคนซื้อ จึงทำให้ Bose ต้องไปหาว่าเสียงอะไรที่ผู้ฟังชอบ พอมาปี ค.ศ. 1968 ก็ได้ออก Bose 901 Direct/ Reflective speaker system ซึ่งกลายเป็นเครื่องที่ขายดีกว่า 25 ปี
- ผลงานที่ยิ่งใหญ่ต่อมาคือ Noise Cancelling Headphone หรือรุ่น QuietComfort ซึ่งใช้เวลาทำถึง 15 ปีได้และ Noise Cancelling ที่เขาสร้างขึ้นมาก็ช่วยให้นักบินอวกาศหูไม่สูญเสียการได้ยินไป
- นอกจากนี้ก็ยังทำเครื่องเสียงให้รถ ซึ่งรถคันแรกที่เขาทำให้ก็คือ Cadilac Sevile ในปี ค.ศ. 1983 นอกจากนี้ Bose ก็ยังทำระบบรับน้ำหนักและระบบกันสะเทือนให้รถอีกเช่นกันในปี ค.ศ. 2004 ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของ Project Sound ที่ Bose ทำมาเกือบ 24 ปี
- ซึ่งความพิเศษของบริษัทเขาก็คือการวิจัยอยู่ตลอดเวลาที่ทำให้บริษัทเขาโด่งดังและทำให้เขามีเทคโนโลยีเฉพาะของเขาเองที่ให้ได้ยินเสียงเพลงเต็มที่และชัดโดยเฉพาะเสียง Bass และ Acoustic
หูฟัง Bose มีกี่ซีรีส์ แต่ละแบบเหมาะกับไลฟ์สไตล์แบบใด
หูฟัง Bose มี 7 ซีรีส์
- QuietComfort นั้นคือหูฟังรุ่นแรกของทาง Bose ที่มี Noise Cancelling ซึ่งเป็นหูฟังประเภทกันเสียงรบกวนจากภายนอก เหมาะกับคนที่อยากฟังเสียงเพลงไม่มีเสียงภายนอกรบกวนและถือว่าเป็นทางเลือกนอกจาก Apple AirPods Pro หรือ Sony WF-1000XM4 ซึ่งก็มีหลายแบบให้เลือก
- True Wireless จะเป็น QuietComfort Earbuds และ QuietComfort Earbuds II
- Wireless จะเป็น QuietComfort 35 และ Quiet Comfort 45
- In-ear จะเป็น QuietComfort 20
- Noise Cancelling Headphone 700 หรือ NCH 700 เป็นรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพกว่า QuietComfort 35
- SoundSport สำหรับคนที่ออกกำลังกาย หลุดได้ยาก
- SoundLink สามารถต่อได้หลายวิธีและยังมีไมโครโฟนที่ดีเหมาะสำหรับการเอาไว้ใช้สนทนา
- Sleepbuds ทำมาสำหรับเพื่อให้สามารถนอนหลับได้ง่ายขึ้น เหมาะกับคนที่มีปัญหาในการนอน
- Aviation Headset สำหรับนักบิน
- Combat Vehicle Crewman Headset สำหรับใช้ในรถหุ้มเกราะ
- Triport Tactical Headset สำหรับใช้ในรถหุ้มเกราะหรือใส่ในหมวกทหาร
วิธีเลือกหูฟัง Bose ให้เหมาะกับคุณมากที่สุด
- เลือกตามประเภทของหูฟัง Bose มีหูฟังอยู่ 2 ประเภทก็คือหูฟังครอบหูกับหูฟังแปะหู สำหรับคนที่อยากได้ยินเสียงดี ๆ หรืออันที่มี Noise Cancelling แบบดีก็ควรจะเลือกที่ครอบหู สำหรับคนที่อยากได้หูฟังไม่ใหญ่มากและอยากเอาไปใช้เดินไปมาก็ควรเลือกแบบแปะหู
- ดูตามซีรีส์ของหูฟัง เพราะแต่ละซีรีส์นั้นสร้างมาให้ใช้ไม่เหมือนกัน เช่น QuietComfort นั้นสร้างมาเพื่อฟังเพลงโดยไม่มีเสียงรบกวนจากภายนอก SoundSport สร้างมาเพื่อออกกำลังกายและหูฟังไม่หลุดในขณะที่ฟังเพลงไปได้ด้วย หรือ SleepBuds ที่ทำมาเพื่อให้นอนได้ง่ายขึ้น
- อยากได้แบบมีสายหรือไม่มีสาย หูฟังที่มีสายนั้นจะมีข้อดีคือเสียงจะไม่มีติดขัดหรือมีปัญหาในการเชื่อมต่อ นอกจากนี้แล้วคุณภาพเสียงก็จะดีและไม่มีดีเลย์จึงเหมาะกับคนที่อยากได้รายละเอียดเสียงเพลงสูงหรือคนที่เล่นเกม ส่วนหูฟังที่ไม่มีสายนั้นหรือที่เราเรียกว่า Wireless จะเหมาะกับเวลาเราออกกำลังกายเพราะไม่มีสายมาขัด
- เช็คว่าใช้งานกับ Apple หรือ Android ได้ดีไหม เพราะหูฟังบางอันก็ไม่มี aptX หรือ Codec
ทำความเข้าใจ Bluetooth Codec
ปัจจุบันนั้นเราจะเห็นว่า Bluetooth ค่อนข้างจะเด่นขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับคนที่อยากใช้ Bluetooth หรือ Wireless
ก่อนอื่นเลยเรามาทำความรู้จักกับ Sample rate, Bit depth และ Bit rate
- Sample rate (Hz) หรือจำนวนข้อมูลในแต่ละวิของไฟล์หรือการเก็บตัวอย่างเสียง ซึ่งเราต้องมีอย่างต่ำ 2 Sample per cycle สำหรับสัญญาณดิจิตอล ซึ่งเสียงปกติจะอยู่ที่ 44.1kHz หรือสองเท่าของการได้ยินเสียงของคน 20kHz สำหรับไฟล์ High-resolution นั้นจะอยู่ที่ 96kHz หรือมากกว่านี้ ยิ่ง Sample rate เยอะไฟล์ก็จะยิ่งใหญ่แต่เสียงก็จะใกล้เคียงกับเสียงจริงอีกเช่นกัน
- Bit depth (-bit) คือการบอกระดับความดังและเบาในแต่ละจุดของ Sampling rate ซึ่งยิ่งค่ามากก็จะยิ่งมี Dynamic Range หรือระดับเสียงที่กว้างขึ้น ยกตัวอย่าง CD จะอยู่ที่ 16-bit ส่วนไฟล์ High-resolution จะอยู่ที่ 24-bit
- Bit rate (Kbps หรือ Mbps) จำนวนข้อมูลที่ส่งภายใน 1 วินาที คำนวนโดยการเอา Sample rate X Bit depth
ต่อมาก็เราจะมาอธิบายในส่วนของ Bluetooth Codec
- SBC (Sub-Band Codec) หรือมองง่าย ๆ ว่าเป็นเวอร์ชั่นที่ปกติและจำเป็นต้องมี Transfer rate ที่ 192-320kbps
- ในส่วนของ aptX ก็คือแบบที่ดีกว่า SBC และเหมาะกับ Android แต่ iPhone ไม่มี คุณภาพเหมือน CD
- Qualcomm aptX ลดการดีเลย์ระหว่างเพลงกับหูฟัง อยู่ที่ 16-bit หรือ 44.1kHz และ Bit rate อยู่ที่ 384 Kbps
- Qualcomm aptX LL พัฒนาต่อจาก aptX ให้เสียงที่ดีขึ้น
- Qualcomm aptX HD พัฒนาขึ้นมาอีกให้ อยู่ที่ 24-bit หรือ 48kHz และ Bit rate อยู่ที่ 576 Kbps
- Qualcomm aptX Adaptive ให้เสียงระดับเดียวกับ aptX HD ใน Bit rate ที่ต่ำกว่าและสามารถมาถึง 96kHz
- AAC (Advanced Audio Coding) ถือว่าเป็นระดับมาตรฐานของ Youtube และ โทรศัพท์ Apple ใช้กัน Bit rate อยุ่ที่ 250 Kbps หรือคุณภาพ MP3 โทรศัพท์ Android จะใช้อันนี้ไม่ได้ดีเท่าไร
- LDAC เป็นของ Sony แต่ AptX และ SBC ดีกว่าถ้า LDAC อยู่ที่ 330 Kbps ซึ่งถ้าอยากใช้อันนี้ได้ดีกว่าก็ต้องไปนั่งปรับด้วยตัวเองและค่า Kbps ก็แล้วแต่โทรศัพท์อีกเช่นกัน ซึ่งมากที่สุดอยู่ที่ 990 Kbps
- LHDC (Low-latency and High-definition Audio Codec) ความเร็วในการเคลื่อนย้ายข้อมูลมากกว่า SBC ถึง 3 เท่า Bit rate อยู่ที่ 900 Kbps และ Sample rate ที่ 96kHz เหมาะกับ Android 10 ขึ้นไป
- LLAC หรือ LHDC LL (Low-latency Audio Codec) ก็คืออีกแบบของ LHDC ซึ่งทำมาเพื่อสายเกมเมอร์โดยเฉพาะ อยู่ที่ 24-bit หรือ 48kHz และ Bit rate อยู่ที่ 400/600 Kbps
- LC3 codec คืออันใหม่สุดที่คุณภาพเสียงที่ดีและทำมาเพื่อช่วยคนหูหนวกหรือมีปัญหาในการได้ยิน นอกจากนี้ยังทำมาเพื่อ True Wireless Earphones ให้ 160 Kbps หรือถ้าแยกหูฟังกันจะอยู่ที่ 80 Kbps
บทส่งท้าย
สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่าหูฟัง Bose รุ่นไหนดีที่จะซื้อ ก็หวังว่าสิ่งที่เราแนะนำไปจะช่วยให้เลือกได้ ถึงแม้ Bose จะแพ้ Sony ในเรื่องของ Noise Cancelling แต่ในเรื่องของเสียงแล้วก็ต้องยกให้ Bose เลย สำหรับใครที่อยากหาหูฟังอื่น ๆ อย่างหูฟังสำหรับเล่นเกมเพื่อไปเล่นเกมแบบมันส์หรือหูฟัง In-ear สำหรับคนที่ชอบหูฟังใส่เข้าไปในหูหรือหูฟัง Bluetoothเอาไว้ต่อแบบไร้สาย นอกจากนี้ใครสนใจหูฟัง Razer หรือ Lenovo ก็สามารถไปดูเพิ่มได้อีกเช่นกัน