ในโลกของสมาร์ทวอทช์ Apple Watch ยังคงครองตำแหน่งผู้นำทั้งด้านดีไซน์ ฟีเจอร์ และการผสานการทำงานกับ iPhone ได้อย่างไร้รอยต่อ ตั้งแต่รุ่นเริ่มต้นอย่าง Apple Watch SE ไปจนถึงรุ่นเรือธงอย่าง Apple Watch Ultra 2 แต่ละรุ่นมีเอกลักษณ์และจุดเด่นที่แตกต่างกัน ทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกให้ตรงกับไลฟ์สไตล์และงบประมาณได้อย่างลงตัว
บทความนี้จะพาคุณสำรวจ Apple Watch ทุกรุ่นที่วางขายในปี 2025 ทั้ง Apple Watch Series 10, Series 9, Ultra 2, SE (2nd Gen) พร้อมอธิบายฟีเจอร์เด่น เช่น การติดตามสุขภาพขั้นสูง, ระบบ GPS + Cellular, หน้าปัดปรับแต่งได้, และแอปเพื่อการออกกำลังกายที่แม่นยำ รวมถึงเปรียบเทียบข้อแตกต่างระหว่างรุ่น เพื่อให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่ารุ่นไหน “ใช่” สำหรับคุณ
ไม่ว่าคุณจะกำลังมองหานาฬิกาเพื่อการออกกำลังกาย การติดตามสุขภาพ หรือเป็นคู่หูดิจิทัลที่ทำงานร่วมกับ iPhone ได้อย่างสมบูรณ์แบบ Apple Watch มีตัวเลือกที่ตอบโจทย์ได้ครบ พร้อมฟีเจอร์ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องทุกปี เพื่อให้คุณได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุด

บรรณาธิการ
Table of Contents
Apple Watch รุ่นไหนดี 2025

Apple Watch Series 10 คือสมาร์ตวอทช์รุ่นเรือธงที่ออกแบบมาเพื่อเป็นศูนย์กลางการดูแลสุขภาพ การออกกำลังกาย และการเชื่อมต่อในชีวิตประจำวันของผู้ใช้ iPhone ด้วยระบบ watchOS 11 ที่ผสานฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์อย่างลงตัว ผู้ใช้จะได้ประสบการณ์ที่ต่อเนื่องและแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นการติดตามข้อมูลสุขภาพแบบเรียลไทม์ การออกกำลังกายหลายประเภท หรือการรับการแจ้งเตือนและโทรศัพท์โดยไม่ต้องหยิบสมาร์ตโฟน
จุดเด่นที่ทำให้ Series 10 น่าจับตามองคือหน้าจอ Retina LTPO OLED แบบติดตลอด ที่ให้ความสว่างสูงสุดถึง 2,000 นิตและคงความคมชัดแม้ในสภาพแสงจ้า ควบคู่กับชิป SiP S10 พร้อม Neural Engine 4-core ที่ทำให้การประมวลผลรวดเร็วและประหยัดพลังงานมากขึ้น รวมถึงฟีเจอร์ด้านสุขภาพอย่าง ECG, การวัดออกซิเจนในเลือด และเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้ติดตามภาวะร่างกายได้อย่างแม่นยำและนำข้อมูลไปปรับการใช้ชีวิต
ในด้านดีไซน์ Apple Watch Series 10 เลือกใช้วัสดุพรีเมียมทั้งอะลูมิเนียมรีไซเคิล 100% และไทเทเนียมรีไซเคิล 95% พร้อมตัวเลือกสีที่หลากหลายเพื่อตอบโจทย์สไตล์ผู้ใช้ ขนาดตัวเรือนมีให้เลือก 42 มม. และ 46 มม. รองรับการเชื่อมต่อ GPS และ GPS + Cellular ฟีเจอร์การออกกำลังกายครอบคลุมทั้งวิ่ง ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ เดินเขา และกีฬาหลากหลายประเภท ผสานกับความทนทานระดับ IP6X กันฝุ่นและกันน้ำได้ลึก 50 เมตร จึงเป็นตัวเลือกที่ลงตัวทั้งในชีวิตประจำวันและกิจกรรมกลางแจ้ง
สเปคเด่น Apple Watch Series 10
- ตัวเรือนอะลูมิเนียมและไทเทเนียม พร้อมหลายสีให้เลือก
- ขนาด 42 มม. และ 46 มม. ความละเอียดจอ 374×446 และ 416×496 พิกเซล
- หน้าจอ Retina LTPO OLED แบบ Always-On สว่างสูงสุด 2,000 นิต
- ชิป SiP S10 พร้อมโปรเซสเซอร์ Dual-core 64 บิต และ Neural Engine 4-core
- ความจุภายใน 64GB
- เซ็นเซอร์ ECG, วัดออกซิเจนในเลือด, วัดอุณหภูมิ, เข็มทิศ, มาตรวัดความสูง, ไจโรสโคป
- รองรับฟีเจอร์การออกกำลังกายกว่า 40 ประเภท รวมถึงโหมดมัลติสปอร์ต
- กันน้ำลึก 50 ม., กันฝุ่นมาตรฐาน IP6X
- แบตเตอรี่ใช้งานได้สูงสุด 18 ชม. (โหมดปกติ) / 36 ชม. (โหมดประหยัดพลังงาน)
- รองรับการชาร์จเร็ว: 80% ภายใน ~30 นาที
- ระบบปฏิบัติการ watchOS 11

Apple Watch Ultra 2 คือสมาร์ตวอทช์ไฮเอนด์จาก Apple ที่ถูกพัฒนามาเพื่อตอบโจทย์นักผจญภัย นักกีฬาเอาท์ดอร์ และผู้ที่ต้องการอุปกรณ์สวมใส่ที่ทนทานทุกสภาพแวดล้อม ตัวเรือนไทเทเนียมเกรด 5 ช่วยรับมือกับแรงกระแทกและสภาพอากาศสุดขั้วได้อย่างมั่นใจ ขณะที่ระบบ watchOS 11 และชิป S9 มอบประสบการณ์ใช้งานที่ลื่นไหลและแม่นยำ ผู้ใช้สามารถติดตามสุขภาพ ออกกำลังกาย และใช้งานแผนที่หรือ GPS ในพื้นที่ทุรกันดารได้อย่างมั่นใจ
จุดเด่นหลักของ Ultra 2 คือความสว่างหน้าจอสูงสุด 3,000 นิต ซึ่งทำให้มองเห็นได้ชัดเจนแม้อยู่กลางแดดจัด ร่วมกับ GPS ความถี่คู่ L1 และ L5 ที่ให้ตำแหน่งแม่นยำแม้ในพื้นที่อับสัญญาณ ฟีเจอร์ดำน้ำลึก 40 เมตรและเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิน้ำเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สำรวจโลกใต้น้ำอย่างปลอดภัย พร้อมปุ่ม Action ที่ตั้งค่าการใช้งานด่วนได้ เช่น เริ่มการออกกำลังกายหรือทำเครื่องหมายตำแหน่ง เพื่อประหยัดเวลาและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำกิจกรรมกลางแจ้ง
ด้านความคุ้มค่า Ultra 2 ไม่ได้มีดีแค่ความแข็งแรง แต่ยังมาพร้อมฟีเจอร์สุขภาพครบ เช่น วัดออกซิเจนในเลือด, ECG, การติดตามรอบเดือน และการตรวจวัดการนอนหลับ แบตเตอรี่ใช้งานได้สูงสุด 36 ชั่วโมง หรือยืดถึง 72 ชั่วโมงในโหมดประหยัดพลังงาน ทำให้รองรับทริปหลายวันโดยไม่ต้องชาร์จบ่อย เมื่อรวมความทนทานระดับทหาร MIL‑STD 810H กับความสามารถกันน้ำระดับ 100 ม. และการกันฝุ่นมาตรฐาน IP6X Ultra 2 จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการนาฬิกาที่พร้อมไปกับคุณทุกเส้นทาง
สเปคเด่น Apple Watch Ultra 2
- ตัวเรือนไทเทเนียมเกรด 5 สีธรรมชาติและสีดำ
- ขนาด 49 มม. ความละเอียดจอ 410×502 พิกเซล
- หน้าจอ Retina LTPO OLED แบบ Always-On สว่างสูงสุด 3,000 นิต
- ชิป SiP S9 พร้อมโปรเซสเซอร์ Dual-core 64 บิต และ Neural Engine 4-core
- ความจุภายใน 64GB
- GPS ความถี่คู่ L1 และ L5
- ฟีเจอร์ดำน้ำลึก 40 ม. ผ่านมาตรฐาน EN13319 พร้อมเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิน้ำ
- กันน้ำระดับ 100 ม. กันฝุ่นมาตรฐาน IP6X และทดสอบ MIL‑STD 810H
- ฟีเจอร์สุขภาพ: ECG, วัดออกซิเจนในเลือด, วัดอุณหภูมิ, ติดตามการนอนหลับ
- ปุ่ม Action ปรับตั้งค่าได้, ไซเรนฉุกเฉิน, ลำโพงคู่, ไมโครโฟน 3 ตัวพร้อมลดเสียงลม
- แบตเตอรี่ใช้งานสูงสุด 36 ชม. (โหมดปกติ) / 72 ชม. (โหมดประหยัดพลังงาน)
- ระบบปฏิบัติการ watchOS 11

Apple Watch Series 9 คือสมาร์ตวอทช์ระดับพรีเมียมที่ออกแบบมาเพื่อเป็นผู้ช่วยส่วนตัวด้านสุขภาพ การออกกำลังกาย และการเชื่อมต่อกับโลกดิจิทัลอย่างไร้รอยต่อ ตัวเครื่องขับเคลื่อนด้วยชิป SiP S9 ที่เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและการประมวลผลด้วย Neural Engine แบบ 4‑core ช่วยให้การตอบสนองรวดเร็วขึ้นและประหยัดพลังงานมากขึ้น เหมาะสำหรับผู้ใช้ iPhone ที่ต้องการอุปกรณ์สวมใส่ที่ทั้งดูดีและทำงานได้อย่างครอบคลุมในชีวิตประจำวัน
จุดเด่นของ Series 9 อยู่ที่หน้าจอ Retina LTPO OLED แบบ Always‑On ที่มีความสว่างสูงสุดถึง 2,000 นิต มองเห็นชัดเจนแม้กลางแดด พร้อมกระจก Ion‑X (อะลูมิเนียม) หรือผลึกแซฟไฟร์ (สแตนเลสสตีล) เพื่อความทนทานต่อรอยขีดข่วนและแรงกระแทก นอกจากนี้ยังมาพร้อมฟีเจอร์ด้านสุขภาพครบถ้วน เช่น ECG, เซ็นเซอร์วัดออกซิเจนในเลือด, การติดตามรอบเดือน และการตรวจวัดการนอนหลับ ทำให้ผู้ใช้สามารถติดตามข้อมูลสุขภาพได้อย่างแม่นยำและนำไปปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต
ในด้านดีไซน์ Series 9 มีให้เลือกทั้งตัวเรือนอะลูมิเนียมและสแตนเลสสตีล พร้อมขนาด 41 มม. และ 45 มม. เพื่อให้เหมาะกับขนาดข้อมือที่หลากหลาย รองรับทั้งรุ่น GPS และ GPS + Cellular เพื่อการใช้งานที่ยืดหยุ่นขึ้น ฟีเจอร์ออกกำลังกายครอบคลุมทั้งวิ่ง ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ เดินเขา และกีฬาอีกหลากหลายประเภท แบตเตอรี่ใช้งานได้สูงสุด 18 ชั่วโมง หรือ 36 ชั่วโมงในโหมดประหยัดพลังงาน และยังรองรับการชาร์จเร็วเพื่อความสะดวกในทุกวัน
สเปคเด่น Apple Watch Series 9
- ตัวเรือนอะลูมิเนียมและสแตนเลสสตีล ขนาด 41 มม. และ 45 มม.
- ความละเอียดจอ 326 ppi พร้อมเทคโนโลยี Always‑On Retina LTPO OLED
- ความสว่างสูงสุด 2,000 นิต
- ชิป SiP S9 พร้อมโปรเซสเซอร์ Dual‑core 64 บิต และ Neural Engine 4‑core
- ความจุภายใน 64GB
- ฟีเจอร์สุขภาพ: ECG, วัดออกซิเจนในเลือด, ติดตามอุณหภูมิ, ติดตามการนอนหลับ
- กันน้ำระดับ 50 ม. และกันฝุ่นมาตรฐาน IP6X
- แบตเตอรี่สูงสุด 18 ชม. (ปกติ) / 36 ชม. (โหมดประหยัดพลังงาน)
- รองรับการชาร์จเร็ว: 80% ภายใน ~45 นาที
- ระบบปฏิบัติการ watchOS
- รองรับ GPS คลื่นความถี่ L1 และ GNSS หลายระบบ

Apple Watch Series 8 คือสมาร์ตวอทช์รุ่นก่อนหน้าที่วางรากฐานให้กับความสามารถด้านสุขภาพที่แม่นยำและดีไซน์ที่สวมใส่สบายในทุกวัน รุ่นนี้ถูกออกแบบมาสำหรับผู้ใช้ iPhone ที่ต้องการสมาร์ตวอทช์ที่ทำได้ทุกอย่าง ทั้งติดตามกิจกรรมทางกาย วัดค่าทางสุขภาพ และรับการแจ้งเตือนต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยำ ด้วยตัวเรือนที่มีให้เลือกทั้งอะลูมิเนียมและสแตนเลสสตีล พร้อมสีสันหลากหลาย Apple Watch Series 8 ยังคงเป็นตัวเลือกที่ดีในปี 2025 สำหรับผู้ที่ต้องการความสามารถระดับเรือธงในราคาที่เข้าถึงง่ายขึ้น
จุดแข็งของ Series 8 คือการรวมเซ็นเซอร์สุขภาพแบบไฟฟ้าและออปติคัล รุ่นที่ 3 เข้าไว้ด้วยกัน พร้อมแอป ECG และแอปวัดออกซิเจนในเลือดที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดตามภาวะร่างกายได้อย่างต่อเนื่อง การตรวจจับการล้มและการชนกัน รวมถึง SOS ฉุกเฉิน และการโทรฉุกเฉินทั่วโลกยังเสริมความปลอดภัยให้กับผู้ใช้ โดยทั้งหมดทำงานผ่านชิป S8 และระบบปฏิบัติการ watchOS ที่ได้รับการปรับแต่งมาเพื่อการใช้งานที่ลื่นไหล
แม้จะไม่ใช่รุ่นล่าสุด แต่ Apple Watch Series 8 ยังคงให้ประสบการณ์ใช้งานที่ราบรื่นและครอบคลุมสำหรับผู้ที่ไม่ได้ต้องการฟีเจอร์ล้ำที่สุด หน้าจอ LTPO OLED Retina แบบ Always-On ให้ความสว่างถึง 1,000 นิต พร้อมกระจกหน้าปัดที่ทนทาน ระบบ GPS และ Bluetooth 5.3 รองรับกิจกรรมหลากหลาย ทั้งวิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน และกีฬาอื่น ๆ อีกมากมาย รวมถึงยังใช้อะลูมิเนียมรีไซเคิลและวัสดุรักษ์โลกที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จึงยังคงเป็นตัวเลือกที่ “ครบจบในตัว” สำหรับคนที่ต้องการความคุ้มค่า
สเปคเด่น Apple Watch Series 8
- ตัวเรือนอะลูมิเนียมและสแตนเลสสตีล ขนาด 41 มม. และ 45 มม.
- จอภาพ LTPO OLED Retina แบบ Always-On ความสว่าง 1,000 นิต
- ความละเอียดจอ: 352x430 (41 มม.), 396x484 (45 มม.)
- ชิป S8 Dual-core 64 บิต + W3 + ชิป U1 (Ultra-Wideband)
- ความจุภายใน 32GB
- เซ็นเซอร์: ECG, วัดออกซิเจนในเลือด, วัดหัวใจแบบออปติคัล, ไจโรสโคป, เข็มทิศ
- กันน้ำลึก 50 ม. และกันฝุ่นระดับ IP6X
- รองรับการโทรฉุกเฉินทั่วโลก, SOS, การตรวจจับการชนกันและการล้ม
- การเชื่อมต่อ: Wi-Fi 2.4GHz & 5GHz, Bluetooth 5.3, LTE (ในรุ่น Cellular)
- แบตเตอรี่สูงสุด 18 ชม., รองรับชาร์จเร็วผ่านสายแม่เหล็ก USB‑C

Apple Watch SE รุ่นที่ 2 คือสมาร์ตวอทช์จาก Apple ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้ iPhone ที่ต้องการอุปกรณ์สวมใส่คุณภาพสูงในราคาคุ้มค่า โดยไม่ละทิ้งฟีเจอร์หลักที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน ตัวเครื่องผลิตจากอะลูมิเนียมรีไซเคิล 100% และมาพร้อมดีไซน์เรียบง่ายทันสมัย เหมาะกับผู้เริ่มต้นใช้งานสมาร์ตวอทช์ หรือนักเรียน นักศึกษาที่ต้องการติดตามสุขภาพ การออกกำลังกาย และการแจ้งเตือนจาก iPhone ได้อย่างต่อเนื่อง
ไฮไลต์สำคัญของรุ่นนี้อยู่ที่การรวมเซ็นเซอร์วัดหัวใจแบบออปติคัล รุ่นที่ 2 กับชิป S8 SiP ตัวเดียวกับใน Series 8 และ 9 ทำให้ Apple Watch SE สามารถตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจ พร้อมแจ้งเตือนความผิดปกติได้อย่างแม่นยำ ทั้งยังรองรับฟีเจอร์การนอนหลับ, การติดตามเสียงรบกวน, และโหมดฝึกสมาธิ ผู้ใช้ยังสามารถออกกำลังกายได้หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นวิ่ง, ปั่นจักรยาน, ว่ายน้ำ หรือโยคะ พร้อมแสดงผลข้อมูลผ่านจอ Retina LTPO OLED ที่สว่างสูงสุด 1,000 นิต
Apple Watch SE รุ่นนี้ยังรองรับฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยที่จำเป็น เช่น Fall Detection, Crash Detection และ SOS ฉุกเฉิน แม้จะไม่มีฟีเจอร์ล้ำอย่าง ECG หรือวัดออกซิเจนในเลือด แต่ด้วยความจุ 32GB ระบบ GPS, Bluetooth 5.3 และ watchOS 11 รุ่นล่าสุด ผู้ใช้ยังสามารถใช้งานได้ลื่นไหลในระยะยาว น้ำหนักเบาใส่สบาย เหมาะกับคนที่ต้องการ Apple Watch ราคาประหยัดโดยไม่ลดทอนคุณภาพโดยรวม
สเปคเด่น Apple Watch SE (2nd Gen)
- ตัวเรือนอะลูมิเนียม ขนาด 40 มม. และ 44 มม.
- จอ Retina LTPO OLED ความสว่างสูงสุด 1,000 นิต
- ความละเอียดจอ: 324x394 (40 มม.), 368x448 (44 มม.)
- ชิป S8 SiP พร้อมโปรเซสเซอร์ Dual-core 64 บิต และ Neural Engine 2-core
- ความจุภายใน 32GB
- เซ็นเซอร์วัดหัวใจแบบออปติคัล (รุ่นที่ 2), เข็มทิศ, ไจโรสโคป, อุปกรณ์ตรวจจับการเคลื่อนไหวแบบแรง g สูง
- ฟีเจอร์สุขภาพ: Heart Rate app, Sleep app, Noise monitoring, Medications, Mindfulness
- รองรับ Crash Detection, Fall Detection และ Emergency SOS
- กันน้ำลึก 50 ม. (swimproof)
- การเชื่อมต่อ: GPS L1, LTE (ในรุ่น Cellular), Wi‑Fi 4, Bluetooth 5.3
- แบตเตอรี่สูงสุด 18 ชม., ชาร์จได้ 80% ภายใน ~1.5 ชม.
- ระบบปฏิบัติการ watchOS 11
จุดเด่นของ Apple Watch เมื่อเทียบกับสมาร์ทวอทช์อื่น
Apple Watch ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุปกรณ์สวมใส่ด้วยแนวคิดที่เน้น “ecosystem-first” หรือการผสานฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ให้ทำงานร่วมกับ iPhone และบริการของ Apple ได้อย่างไร้รอยต่อ นั่นคือจุดที่สมาร์ตวอทช์หลายแบรนด์ยังไม่สามารถทัดเทียมได้ ไม่ใช่เพียงแค่ “ใส่แล้วดูดี” แต่ Apple Watch ยังมอบประสบการณ์ที่ “ฉลาดและแม่นยำ” อย่างต่อเนื่องในทุกมิติของชีวิตประจำวัน
การผสานกับระบบนิเวศ (Apple Ecosystem) อย่างสมบูรณ์
Apple Watch สามารถเชื่อมต่อกับ iPhone, AirPods, iCloud, Apple Music, Apple Pay และบริการอื่นของ Apple ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ในขณะที่สมาร์ตวอทช์แบรนด์อื่นแม้จะเชื่อมต่อกับมือถือได้หลายระบบ แต่กลับขาดความลื่นไหลและการซิงก์แบบเรียลไทม์ในหลายฟีเจอร์ เช่น การส่งข้อความ, การสลับอุปกรณ์, หรือการจ่ายเงินแบบไร้สัมผัสผ่าน Apple Pay
ความแม่นยำด้านสุขภาพและความปลอดภัย
Apple ลงทุนอย่างต่อเนื่องในด้านเซ็นเซอร์และการวิจัยสุขภาพ ทำให้ Apple Watch มีฟีเจอร์เฉพาะ เช่น ECG (คลื่นไฟฟ้าหัวใจ), การวัดออกซิเจนในเลือด (SpO₂), การตรวจจับการล้ม, การตรวจจับการชน (Crash Detection) และการแจ้งเตือนภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ฟีเจอร์เหล่านี้ผ่านการรับรองและมีการศึกษาเชิงคลินิกในหลายประเทศ ซึ่งทำให้ Apple Watch ได้รับความเชื่อถือมากกว่าแบรนด์อื่น ๆ ในกลุ่มผู้ใช้งานที่เน้นด้านสุขภาพ
watchOS และแอปพลิเคชันที่มีความเสถียร
ระบบปฏิบัติการ watchOS ได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง และมีนักพัฒนาแอปจำนวนมากที่สร้างแอปเฉพาะสำหรับ Apple Watch โดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นแอปฟิตเนส, แอปทางการแพทย์, แอป Productivity หรือแม้แต่แอปเสียง เช่น Spotify และ Audible ในขณะที่สมาร์ตวอทช์จากค่ายอื่นหลายรุ่นยังคงจำกัดอยู่ที่แอปพื้นฐานเท่านั้น หรือมีความไม่เสถียรในการใช้งาน
คุณภาพฮาร์ดแวร์และดีไซน์ที่เป็นมาตรฐานอุตสาหกรรม
Apple Watch ถูกออกแบบด้วยวัสดุระดับสูง เช่น ไทเทเนียม, สแตนเลสสตีล, กระจกแซฟไฟร์ และใช้กระบวนการผลิตที่แม่นยำในระดับเดียวกับอุปกรณ์ไฮเอนด์อื่น ๆ ของ Apple ส่งผลให้ตัวเครื่องมีความทนทาน ใช้งานได้ยาวนาน อีกทั้งยังมีตัวเลือกสีและสายให้เปลี่ยนได้หลากหลาย เพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งานทุกวัน
ระบบฟีเจอร์เพื่อความปลอดภัยและผู้ใช้งานทุกกลุ่ม
Apple Watch ไม่ได้เป็นแค่สมาร์ตวอทช์สำหรับผู้ใหญ่ แต่ยังออกแบบให้เหมาะสำหรับเด็ก (ผ่าน Family Setup) และผู้สูงอายุ (ผ่านฟีเจอร์ด้านสุขภาพและการช่วยการเข้าถึง) รวมถึงมีความสามารถในการใช้ Emergency SOS และการโทรฉุกเฉินทั่วโลกโดยไม่ต้องพึ่งสมาร์ตโฟนตลอดเวลา ซึ่งทำให้ผู้ใช้งานหลายกลุ่มมั่นใจในความปลอดภัยในระหว่างการใช้งาน
Apple Watch ทำอะไรได้บ้าง
Apple Watch ไม่ใช่แค่นาฬิกาอัจฉริยะ แต่คือผู้ช่วยส่วนตัวด้านสุขภาพ การออกกำลังกาย การติดต่อสื่อสาร และการควบคุมอุปกรณ์ใน ecosystem ของ Apple ทั้งหมด จุดแข็งของ Apple Watch คือการผสานฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ทำงานร่วมกับ iPhone ได้อย่างแนบเนียน ทำให้กลายเป็นอุปกรณ์เสริมที่แทบจะขาดไม่ได้สำหรับผู้ใช้งานในปัจจุบัน
ตรวจวัดสุขภาพแบบเรียลไทม์
Apple Watch รองรับการตรวจวัดสุขภาพทั้งพื้นฐานและเชิงลึกได้หลายด้าน
- วัดอัตราการเต้นของหัวใจ พร้อมแจ้งเตือนหากเร็วหรือช้าเกินไป
- วัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) สำหรับผู้ที่มีปัญหาหัวใจ (เฉพาะรุ่นที่รองรับ)
- วัดออกซิเจนในเลือด (SpO₂) เพื่อตรวจภาวะหายใจ/ระบบไหลเวียน
- วัดอุณหภูมิร่างกายและติดตามรอบเดือน (ในรุ่นที่มีเซ็นเซอร์)
- ติดตามการนอนหลับอย่างละเอียด พร้อมข้อมูล sleep stage
- แอปเสียงรบกวน ที่ช่วยเตือนหากคุณอยู่ในพื้นที่เสียงดังเกินไป
ออกกำลังกายและติดตามกิจกรรม
Apple Watch รองรับการออกกำลังกายมากกว่า 40 ประเภท ทั้งกลางแจ้งและในร่ม พร้อมวิเคราะห์ข้อมูลอย่างแม่นยำ
- วิ่ง, ว่ายน้ำ, ปั่นจักรยาน, เดินเขา, HIIT, โยคะ ฯลฯ
- ติดตาม Heart Rate Zone, Pace, ระยะทาง, ความสูง และ SWOLF
- สร้าง Workout แบบกำหนดเอง และแสดงผลสดบน iPhone
- ระบบ GPS สำหรับติดตามเส้นทาง และโหมดมัลติสปอร์ต
- ฟีเจอร์ “Competition” เพื่อแชร์กิจกรรมและแข่งกับเพื่อน
อ่านเพิ่มเติม: นาฬิกาใส่วิ่ง ยี่ห้อไหนดี
ฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย
Apple Watch ถูกออกแบบให้ช่วยชีวิตได้ในหลายสถานการณ์ฉุกเฉิน
- Fall Detection ตรวจจับการล้ม และโทรหาเบอร์ฉุกเฉินอัตโนมัติ
- Crash Detection ตรวจจับอุบัติเหตุจากแรง G สูง (Series 8 ขึ้นไป)
- Emergency SOS ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือทันที
- การโทรฉุกเฉินทั่วโลก ในรุ่น GPS + Cellular
- ไซเรน (ในรุ่น Ultra) สำหรับส่งเสียงเตือนเมื่อหลงทาง
การแจ้งเตือนและการสื่อสาร
Apple Watch ช่วยให้คุณติดตามทุกเรื่องได้โดยไม่ต้องหยิบ iPhone
- รับสายและโทรออก (โดยเฉพาะในรุ่น GPS + Cellular)
- รับข้อความ, LINE, อีเมล และการแจ้งเตือนจากแอปต่าง ๆ
- พิมพ์ตอบด้วยเสียง, Scribble หรือส่งอีโมจิ
- ใช้ Siri สั่งงาน ค้นหา หรือตอบข้อความได้ทันที
ควบคุมอุปกรณ์และแอปในระบบ Apple
ควบคุมเพลงจาก Apple Music, Spotify หรือ YouTube Music
- ใช้เป็นรีโมตกล้อง iPhone
- ใช้ Apple Pay เพื่อจ่ายเงินแบบไร้สัมผัส
- ปลดล็อก Mac หรือ iPhone ได้อัตโนมัติ
- ควบคุมอุปกรณ์ HomeKit ภายในบ้าน เช่น ไฟ ปลั๊ก หรือกล้อง
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Apple Watch
Apple Watch มีกี่รุ่น?
ณ ปี 2025 Apple Watch ที่ยังมีวางจำหน่ายหลัก ๆ ได้แก่
- Apple Watch Series 10
- Apple Watch Ultra 2
- Apple Watch Series 9
- Apple Watch SE (รุ่นที่ 2)
- Apple Watch Hermès (เวอร์ชันพิเศษของ Series 10)
Apple Watch รุ่นไหนดี?
ขึ้นอยู่กับงบประมาณและการใช้งาน:
- Series 10 เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการฟีเจอร์ครบครัน
- Ultra 2 เหมาะกับสายลุยและนักผจญภัย
- Series 9 เป็นตัวเลือกกลางที่ลงตัว
- SE 2 คุ้มค่าสำหรับมือใหม่หรือผู้ที่ต้องการรุ่นราคาย่อมเยา
Apple Watch ทำอะไรได้บ้าง?
- วัดอัตราการเต้นหัวใจ, ออกซิเจนในเลือด, ECG
- ตรวจจับการล้ม/การชน และแจ้งเตือนฉุกเฉิน
- ติดตามการออกกำลังกายกว่า 40 ประเภท
- รับสาย โทรออก ตอบข้อความ และใช้ Apple Pay
- ควบคุมเพลง, กล้อง, HomeKit และเชื่อมต่อกับ iPhone
Apple Watch ใช้กับ Android ได้ไหม?
ไม่ได้ Apple Watch รองรับเฉพาะ iPhone เท่านั้น โดยต้องใช้ร่วมกับ iPhone รุ่น Xs หรือใหม่กว่า และต้องใช้ iOS เวอร์ชันล่าสุดที่รองรับ
อ่านเพิ่มเติม: โทรศัพท์แอนดรอยด์ รุ่นไหนดี
Apple Watch ใช้กับ iPad ได้ไหม?
ไม่ได้ Apple Watch ไม่สามารถจับคู่กับ iPad ได้ ต้องใช้ iPhone ในการตั้งค่าและเชื่อมต่อ
อ่านเพิ่มเติม: iPad รุ่นไหนดี อัปเดตล่าสุด
Apple Watch วัดความดันได้ไหม?
ยังไม่สามารถวัดความดันโลหิตโดยตรงได้ รุ่นที่มีอยู่สามารถวัดอัตราการเต้นหัวใจ, ECG และ SpO₂ เท่านั้น
Apple Watch GPS กับ GPS + Cellular ต่างกันยังไง?
- GPS: เชื่อมต่อผ่าน iPhone เท่านั้น ไม่มีซิมในตัว
- GPS + Cellular: มี eSIM ใช้งานโทรศัพท์-อินเทอร์เน็ตได้โดยไม่ต้องพก iPhone
Apple Watch Cellular จำเป็นไหม?
ถ้าคุณชอบวิ่ง ออกกำลังกาย หรือเดินทางโดยไม่อยากพกโทรศัพท์ตลอดเวลา รุ่น Cellular จะสะดวกมาก แต่มีค่าใช้จ่ายรายเดือนเพิ่มตามเครือข่ายที่ใช้งาน
Apple Watch ใช้ซิมจริงหรือไม่?
Apple Watch ใช้ eSIM ซึ่งต้องเปิดเบอร์คู่กับเครือข่ายมือถือที่รองรับ เช่น AIS, TrueMove H, DTAC ในประเทศไทย
Apple Watch ต้องชาร์จบ่อยไหม?
โดยทั่วไปแบตเตอรี่ใช้ได้ ประมาณ 18 ชั่วโมงต่อวัน แต่บางรุ่นมีโหมดประหยัดพลังงานที่ยืดได้ถึง 36–72 ชั่วโมง เช่น Ultra 2
Apple Watch Series 9 กับ Series 10 ต่างกันยังไง?
Series 10 มีขนาดใหญ่ขึ้น ดีไซน์บางลง, ชิปใหม่ S10 ที่เร็วขึ้น และมีฟีเจอร์ใหม่ด้านการควบคุม เช่น “แตะสองครั้ง” ที่ลื่นไหลและแม่นยำมากขึ้น
Apple Watch SE กับ Series 9 ต่างกันยังไง?
SE ไม่มีฟีเจอร์วัด ECG, SpO₂ หรือ Always-On Display แต่ใช้ชิป S8 เหมือนกัน เหมาะกับผู้ที่ต้องการรุ่นเบา ราคาคุ้ม โดยไม่ต้องใช้ฟีเจอร์ล้ำ ๆ
Apple Watch ของแท้ดูยังไง?
เช็ก Serial Number ผ่าน เว็บไซต์ Apple
ของแท้มักมาพร้อมกล่อง มีประกัน และสามารถจับคู่กับ iPhone ได้ปกติ
Apple Watch เปลี่ยนแบตได้ไหม?
สามารถเปลี่ยนได้ที่ศูนย์บริการ Apple หรือร้านที่ได้รับการแต่งตั้ง ราคาค่าเปลี่ยนขึ้นอยู่กับรุ่น
Apple Watch ซื้อที่ไหนดีในไทย?
- Apple Store (ออนไลน์และหน้าร้าน)
- ตัวแทนจำหน่ายอย่าง iStudio, Banana IT, Studio7
- ช่องทางออนไลน์ที่เชื่อถือได้ เช่น Lazada, Shopee จากร้านทางการ
บทส่งท้าย
ไม่ว่าคุณจะเป็นสายออกกำลังกายจริงจัง นักเดินทางที่ต้องการอุปกรณ์ทนทาน หรือผู้ใช้งานทั่วไปที่อยากได้สมาร์ตวอทช์เชื่อมต่อกับ iPhone อย่างไร้รอยต่อ – Apple Watch ทุกรุ่นถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่แตกต่างกันอย่างแท้จริง
Series 10 คือตัวเลือกที่ครบที่สุดในภาพรวม, Ultra 2 เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟังก์ชันระดับมืออาชีพในกิจกรรมกลางแจ้ง, ส่วน SE รุ่นที่ 2 เป็นรุ่นเริ่มต้นที่คุ้มค่าและใช้งานจริงได้เกินราคา หากคุณเข้าใจเป้าหมายของตัวเองและรู้จักความแตกต่างของแต่ละรุ่น การเลือก Apple Watch ที่ “ใช่” สำหรับคุณก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
ก่อนตัดสินใจ อย่าลืมพิจารณาทั้ง ความต้องการใช้งาน, งบประมาณ, ฟีเจอร์ที่จำเป็น และความเข้ากันได้กับ iPhone รุ่นปัจจุบันของคุณ เพื่อให้ได้ประสบการณ์ Apple Watch ที่ลงตัวที่สุดตั้งแต่วันแรกที่ใส่บนข้อมือ