Welcome Citizen!

บันทึกตอนนี้เลย แล้วซื้อทีหลัง เราจะแจ้งคุณถ้าราคาลด

Welcome Citizen!

Setup your account or continue reading!

Settings
รวมกล้องดูลูก ยี่ห้อไหนดี ดูเจ้าตัวน้อยได้แบบ 24 ชั่วโมง

รวมกล้องดูลูก ยี่ห้อไหนดี ดูเจ้าตัวน้อยได้แบบ 24 ชั่วโมง

เลือกกล้องดูลูกที่ดีที่สุด บทความนี้รวบรวมกล้องดูลูกยอดนิยม ฟีเจอร์ที่ต้องมี และยี่ห้อที่น่าสนใจ ให้คุณดูแลลูกน้อยได้ 24 ชั่วโมงอย่างสบายใจ

การเป็นพ่อแม่มือใหม่นั้นเต็มไปด้วยความสุขและความกังวล โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ลูกน้อยหลับหรืออยู่นอกสายตา กล้องดูลูก (Baby Monitor Camera) จึงกลายเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้คุณพ่อคุณแม่สามารถเฝ้าดูเจ้าตัวเล็กได้อย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ว่าจะกำลังทำอะไรอยู่ในอีกห้องหนึ่ง หรือแม้กระทั่งเวลาที่ต้องทำงานบ้าน บทความนี้จะช่วยแนะนำวิธีการเลือกกล้องดูลูกที่ดีที่สุด พร้อมฟีเจอร์เด่นๆ และยี่ห้อที่ได้รับความนิยม เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและสบายใจยิ่งขึ้น


บรรณาธิการ

Puifaii chevron_right

...

ทำไมต้องมีกล้องดูลูก?

  1. ความปลอดภัยของลูกน้อย เฝ้าระวังตลอดเวลา กล้องดูลูกช่วยให้คุณสามารถสังเกตการณ์ลูกน้อยได้ตลอด 24 ชั่วโมง แม้ในขณะที่คุณไม่ได้อยู่ในห้องเดียวกับลูก เช่น กำลังทำอาหาร ทำงานบ้าน หรือพักผ่อนอยู่ในอีกห้องหนึ่ง ป้องกันเหตุไม่คาดฝัน หากลูกน้อยตื่นขึ้นมา ร้องไห้ ปีนเปล หรือเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันอื่น ๆ คุณจะสามารถรับรู้และเข้าไปดูแลได้ทันท่วงที ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุต่าง ๆ ได้
  2. ความสบายใจและลดความกังวลของพ่อแม่ ลดความวิตกกังวล การเป็นพ่อแม่มือใหม่มักจะมาพร้อมกับความกังวลมากมาย โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยของลูก กล้องดูลูกช่วยให้คุณคลายความกังวลลงได้มาก เพราะคุณสามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลาว่าลูกปลอดภัยดี มีเวลาส่วนตัว เมื่อคุณรู้ว่าสามารถดูลูกได้ผ่านกล้อง คุณก็จะสามารถมีเวลาทำกิจกรรมส่วนตัวอื่น ๆ ได้อย่างสบายใจมากขึ้น ไม่ต้องคอยวิ่งไปดูที่ห้องลูกบ่อย ๆ
  3. การสังเกตพฤติกรรมและการพัฒนาการ รูปแบบการนอนหลับ ช่วยให้คุณสังเกตพฤติกรรมการนอนหลับของลูกน้อยได้ เช่น ลูกหลับลึกแค่ไหน ตื่นบ่อยหรือไม่ หรือมีท่าทางการนอนที่ผิดปกติหรือไม่ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการปรับตารางการนอน การเรียนรู้พฤติกรรม คุณอาจได้เห็นช่วงเวลาที่ลูกเล่นคนเดียว คลาน หรือพยายามลุกขึ้นยืนเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่น่ารักและสำคัญในการพัฒนาการของลูก
  4. การสื่อสารและการสร้างความผูกพัน ระบบเสียงสองทาง กล้องดูลูกหลายรุ่นมีฟังก์ชันเสียงสองทาง ทำให้คุณสามารถพูดคุยหรือร้องเพลงกล่อมลูกผ่านกล้องได้แม้จะไม่ได้อยู่ใกล้ ๆ ซึ่งช่วยให้ลูกรู้สึกอุ่นใจเมื่อได้ยินเสียงคุณ ตอบสนองได้รวดเร็ว เมื่อลูกร้องไห้ คุณสามารถพูดคุยกับลูกผ่านกล้องได้ทันทีเพื่อปลอบโยน หรือบอกว่าคุณกำลังจะไปหา ซึ่งช่วยให้ลูกไม่รู้สึกโดดเดี่ยวนานเกินไป
  5. การแจ้งเตือนอัจฉริยะ ตรวจจับการเคลื่อนไหวและเสียง กล้องดูลูกสมัยใหม่มักมีเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวและเสียง หากลูกตื่นหรือมีเสียงดังผิดปกติ กล้องจะส่งการแจ้งเตือนไปยังสมาร์ทโฟนของคุณทันที แจ้งเตือนอุณหภูมิห้อง บางรุ่นมีเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิห้อง ซึ่งสำคัญมากในการรักษาอุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับลูกน้อย หากอุณหภูมิสูงหรือต่ำเกินไป กล้องจะแจ้งเตือนให้คุณทราบ
  6. บันทึกความทรงจำ กล้องดูลูกบางรุ่นสามารถบันทึกวิดีโอได้ ทำให้คุณสามารถเก็บภาพความทรงจำที่น่ารักของลูกน้อยได้ เช่น ลูกหัวเราะคิกคักในเปล หรือช่วงเวลาที่ลูกนอนหลับอย่างน่าเอ็นดู

ฟีเจอร์สำคัญที่กล้องดูลูกควรมี

  1. การมองเห็นในที่มืด เป็นฟีเจอร์ที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง เพราะลูกน้อยส่วนใหญ่มักจะหลับในเวลากลางคืนหรือในห้องที่มืด การมองเห็นในที่มืดจะช่วยให้คุณสามารถเห็นภาพลูกได้อย่างชัดเจนแม้ในสภาพแสงน้อยหรือมืดสนิท ส่วนใหญ่จะใช้เทคโนโลยีอินฟราเรด (Infrared) ทำให้ภาพที่เห็นเป็นขาวดำ แต่ชัดเจนเพียงพอที่จะสังเกตการณ์ลูกได้
  2. ระบบเสียงสองทาง ฟีเจอร์นี้ช่วยให้คุณสามารถสื่อสารกับลูกน้อยได้จากระยะไกล คุณสามารถพูดคุย ปลอบโยน หรือร้องเพลงกล่อมลูกผ่านไมโครโฟนบนสมาร์ทโฟนหรือจอแสดงผล และลูกน้อยก็จะสามารถได้ยินเสียงของคุณผ่านลำโพงของกล้อง ช่วยให้ลูกรู้สึกอุ่นใจเมื่อได้ยินเสียงพ่อแม่ และคุณสามารถตอบสนองต่อการร้องไห้หรือเสียงของลูกได้ทันที
  3. เซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวและเสียง กล้องจะส่งการแจ้งเตือน (Notification) ไปยังสมาร์ทโฟนของคุณทันทีเมื่อตรวจพบการเคลื่อนไหวหรือเสียงผิดปกติ เช่น ลูกตื่น ร้องไห้ หรือพลิกตัว คุณไม่จำเป็นต้องเฝ้าดูหน้าจอตลอดเวลา กล้องจะแจ้งเตือนคุณเมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้น ทำให้คุณสามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว
  4. การแจ้งเตือนอุณหภูมิห้อง อุณหภูมิห้องที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญต่อสุขภาพและการนอนหลับของทารก กล้องที่มีฟีเจอร์นี้จะช่วยแจ้งเตือนหากอุณหภูมิในห้องลูกสูงหรือต่ำเกินไปจากค่าที่คุณตั้งไว้ ช่วยให้คุณรักษาสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับลูกน้อยได้ตลอดเวลา
  5. การเชื่อมต่อที่เสถียรและปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อ Wi-Fi หรือการเชื่อมต่อแบบเฉพาะ (FHSS/DECT) ความเสถียรของสัญญาณเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะได้รับภาพและเสียงที่ต่อเนื่อง ไม่สะดุด ตรวจสอบให้แน่ใจว่าการเชื่อมต่อมีความปลอดภัยเพื่อป้องกันการถูกแฮกหรือการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต (โดยเฉพาะกล้องที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต)
  6. การเข้าถึงผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ กล้อง Wi-Fi ส่วนใหญ่มาพร้อมกับแอปพลิเคชันสำหรับสมาร์ทโฟน ช่วยให้คุณสามารถดูภาพสด บันทึกวิดีโอ หรือควบคุมฟีเจอร์ต่าง ๆ ได้จากทุกที่ที่มีอินเทอร์เน็ต เพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งาน ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ทำงาน ช้อปปิ้ง หรือกำลังทำกิจกรรมอื่น ๆ ก็สามารถเช็คลูกได้
  7. ความคมชัดของภาพ เลือกกล้องที่มีความคมชัดระดับ HD (720p หรือ 1080p) เพื่อให้ได้ภาพที่ชัดเจนและสามารถมองเห็นรายละเอียดของลูกน้อยได้อย่างชัดเจน ภาพที่คมชัดจะช่วยให้คุณสังเกตพฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ของลูกได้ดีขึ้น
  8. การควบคุมการแพน/เอียง/ซูม กล้องบางรุ่นสามารถควบคุมการหมุน (Pan) การเอียง (Tilt) ของเลนส์ และการซูม (Zoom) ได้จากระยะไกลผ่านแอปพลิเคชันหรือจอแสดงผล ช่วยให้คุณมองเห็นพื้นที่ในห้องได้กว้างขึ้น ครอบคลุมมากขึ้น และสามารถซูมดูรายละเอียดของลูกน้อยได้ใกล้ขึ้นโดยไม่ต้องเข้าไปในห้อง
  9. การเล่นเพลงกล่อมเด็กและแสงไฟ ฟีเจอร์เสริมที่ช่วยให้ลูกน้อยรู้สึกผ่อนคลายและหลับง่ายขึ้น กล้องบางรุ่นมีเพลงกล่อมเด็กในตัว หรือมีแสงไฟอ่อน ๆ ที่ช่วยให้ลูกรู้สึกปลอดภัยในที่มืด ลดความจำเป็นในการซื้ออุปกรณ์เสริมเพิ่มเติม
  10. แบตเตอรี่ใช้งานได้นาน หากเลือกกล้องที่มีจอแสดงผลเฉพาะ ควรตรวจสอบระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ของจอ เพื่อให้สามารถพกพาไปใช้งานในบ้านได้อย่างสะดวกโดยไม่ต้องเสียบปลั๊กตลอดเวลา
  11. การติดตั้งและการใช้งานง่าย ควรเลือกกล้องที่ติดตั้งได้ไม่ยุ่งยาก และมีอินเทอร์เฟซการใช้งานบนแอปพลิเคชันหรือจอแสดงผลที่เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน ประหยัดเวลาและลดความยุ่งยากในการเริ่มต้นใช้งาน

ประเภทของกล้องดูลูก

  1. กล้องดูลูกแบบใช้จอแสดงผลเฉพาะ (Dedicated Baby Monitor / Digital Baby Monitor)
  • ลักษณะการทำงาน กล้องประเภทนี้จะมาพร้อมกับจอแสดงผล (Parent Unit) โดยเฉพาะ ซึ่งเชื่อมต่อกับตัวกล้อง (Baby Unit) โดยตรงผ่านสัญญาณวิทยุดิจิทัล (เช่น FHSS - Frequency Hopping Spread Spectrum หรือ DECT - Digital Enhanced Cordless Telecommunications) ไม่ได้เชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi หรืออินเทอร์เน็ต
  • ข้อดี
    • ความเสถียรของสัญญาณ มักจะมีการเชื่อมต่อที่เสถียรและเชื่อถือได้สูงกว่า เพราะใช้คลื่นความถี่เฉพาะ ไม่ต้องแข่งขันกับอุปกรณ์ Wi-Fi อื่นๆ ในบ้าน
    • ความปลอดภัยของข้อมูล เนื่องจากไม่ได้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต จึงมีความเสี่ยงน้อยกว่าในการถูกแฮกข้อมูล
    • ใช้งานง่าย มักจะมีปุ่มควบคุมที่เข้าใจง่าย และไม่ต้องพึ่งพาสมาร์ทโฟน
    • ไม่ต้องกังวลเรื่องแบตเตอรี่สมาร์ทโฟน จอแสดงผลมีแบตเตอรี่ในตัวและสามารถใช้งานได้นานกว่า
    • ไม่มีการรบกวนจากแอปพลิเคชันอื่น คุณสามารถเปิดจอทิ้งไว้ได้ตลอดโดยไม่มีการแจ้งเตือนจากแอปอื่นมารบกวน
  • ข้อจำกัด
    • ระยะการใช้งานจำกัด สัญญาณจะครอบคลุมได้ในระยะที่จำกัด ขึ้นอยู่กับสิ่งกีดขวางและรุ่นของกล้อง
    • ไม่สามารถดูได้จากนอกบ้าน คุณจะต้องอยู่ในระยะสัญญาณของกล้องเท่านั้น
    • ฟีเจอร์อาจไม่หลากหลายเท่า บางรุ่นอาจมีฟีเจอร์อัจฉริยะน้อยกว่ากล้อง Wi-Fi
  1. กล้องดูลูกแบบ Wi-Fi (Wi-Fi Baby Monitor / Smart Baby Monitor)
  • ลักษณะการทำงาน กล้องประเภทนี้จะเชื่อมต่อกับเครือข่าย Wi-Fi ภายในบ้านของคุณ และคุณสามารถดูภาพสดจากกล้องผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตของคุณได้จากทุกที่ที่มีอินเทอร์เน็ต
  • ข้อดี
    • ดูได้จากทุกที่: สามารถดูภาพลูกน้อยได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ตราบใดที่มีอินเทอร์เน็ต
    • ฟีเจอร์หลากหลาย: มักจะมาพร้อมฟีเจอร์อัจฉริยะมากมาย เช่น การตรวจจับการเคลื่อนไหว/เสียง การแจ้งเตือนอุณหภูมิ การควบคุม PTZ การบันทึกวิดีโอ การเล่นเพลงกล่อมเด็ก
    • ภาพคมชัดสูง: หลายรุ่นมีความละเอียดของภาพสูง (HD 720p หรือ Full HD 1080p)
    • ใช้สมาร์ทโฟนที่มีอยู่แล้ว: ไม่ต้องซื้อจอแสดงผลเพิ่มเติม
  • ข้อจำกัด
    • ความเสถียรขึ้นอยู่กับ Wi-Fi หากสัญญาณ Wi-Fi ไม่ดี หรือมีอุปกรณ์เชื่อมต่อจำนวนมาก อาจทำให้สัญญาณสะดุด
    • ความปลอดภัยของข้อมูล จำเป็นต้องมีการเข้ารหัสที่แข็งแกร่งเพื่อป้องกันการถูกแฮก
    • กินแบตเตอรี่สมาร์ทโฟน การเปิดแอปดูภาพสดเป็นเวลานานจะทำให้แบตเตอรี่สมาร์ทโฟนหมดเร็ว
    • อาจมีการแจ้งเตือนจากแอปอื่น การใช้สมาร์ทโฟนเป็นจอแสดงผลอาจทำให้การแจ้งเตือนจากแอปอื่นรบกวนได้
  1. กล้องดูลูกแบบแพน/เอียงได้ (Pan/Tilt Camera)
  • ลักษณะการทำงาน กล้องประเภทนี้สามารถควบคุมการหมุนในแนวนอน (Pan) และการเอียงในแนวตั้ง (Tilt) ของเลนส์ได้จากระยะไกลผ่านแอปพลิเคชันหรือจอแสดงผล ทำให้คุณสามารถปรับมุมมองเพื่อติดตามลูกน้อยได้ทั่วทั้งห้อง
  • เป็นฟีเจอร์เสริม โดยทั่วไปแล้ว กล้อง Pan/Tilt มักจะเป็นส่วนหนึ่งของกล้อง Wi-Fi หรือกล้องที่มีจอแสดงผลบางรุ่น ไม่ได้เป็นประเภทที่แยกออกมาโดยสิ้นเชิง แต่เป็นคุณสมบัติเด่นที่ควรพิจารณา
  • ข้อดี
    • ครอบคลุมพื้นที่กว้าง สามารถมองเห็นได้ทั่วทั้งห้อง ไม่ว่าลูกจะคลานไปส่วนไหน
    • ไม่ต้องปรับตำแหน่งกล้องบ่อย เพียงแค่ควบคุมจากระยะไกลก็สามารถเปลี่ยนมุมมองได้
  • ข้อจำกัด
    • ราคาสูงกว่า กล้องที่มีฟังก์ชัน PTZ มักจะมีราคาสูงกว่ากล้องแบบ Fix Lens
    • อาจมีเสียงดัง กลไกการหมุนอาจมีเสียงดังรบกวนลูกน้อยได้ในบางรุ่น (แม้ส่วนใหญ่จะเงียบมากแล้ว)
  1. กล้องดูลูกอัจฉริยะขั้นสูง (Smart / Advanced Baby Monitors)
  • ลักษณะการทำงาน กล้องเหล่านี้เป็นประเภท Wi-Fi ที่มีฟีเจอร์พิเศษเพิ่มเติมที่เหนือกว่ากล้องทั่วไป เน้นการให้ข้อมูลเชิงลึกและการติดตามสุขภาพของลูกน้อย
  • ตัวอย่างฟีเจอร์
    • การติดตามการหายใจ เช่น Nanit Pro ที่ใช้เทคโนโลยีการประมวลผลภาพเพื่อติดตามการเคลื่อนไหวของการหายใจของลูกน้อย
    • การวิเคราะห์การนอนหลับ ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับคุณภาพการนอนหลับของลูก
    • การแจ้งเตือนเมื่อลูกถูกปกคลุม บางรุ่นมีเซ็นเซอร์ตรวจจับว่าใบหน้าลูกถูกสิ่งของปกคลุมหรือไม่
    • การบันทึกและสร้างไฮไลท์วิดีโอ บันทึกช่วงเวลาสำคัญและสร้างเป็นคลิปสั้นๆ
  • ข้อดี
    • ข้อมูลเชิงลึก ช่วยให้คุณเข้าใจพฤติกรรมและสุขภาพการนอนหลับของลูกได้ดีขึ้น
    • ความปลอดภัยสูงสุด มีฟีเจอร์การแจ้งเตือนขั้นสูงสำหรับความปลอดภัยของลูก
  • ข้อจำกัด:
    • ราคาสูงมาก มักจะเป็นกล้องที่มีราคาแพงที่สุด
    • อาจต้องสมัครสมาชิก บางฟีเจอร์อาจต้องมีการสมัครสมาชิกรายเดือนเพื่อเข้าถึงข้อมูลเชิงลึก

5 กล้องดูลูก ยี่ห้อไหนดี

  1. Saker BABY MONITOR (เซเกอร์) กล้องดูลูกแบบใช้จอแสดงผลเฉพาะ (Dedicated Monitor) และ สามารถเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi ได้ในบางรุ่น (รุ่น Professional Edition) Saker เน้นความคุ้มค่าด้วยฟีเจอร์ที่จัดเต็มเทียบเท่าแบรนด์ราคาสูง โดยเฉพาะรุ่น Professional Edition ที่ปรับปรุงทั้งคุณภาพภาพ สัญญาณ และฟังก์ชันการใช้งาน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกล้องที่มีจอแสดงผลเฉพาะที่เสถียรและครบครัน

 จุดเด่น

  • ภาพคมชัดและมุมกว้าง จอภาพคมชัดระดับ HD (รุ่นใหม่ 4.5 นิ้ว) และกล้องหมุนได้ 360 องศา ครอบคลุมทุกมุมห้อง
  • Night Vision คมชัด มองเห็นได้ในที่มืดสนิทได้ถึง 10 เมตร ด้วยภาพที่คมชัด
  • สัญญาณเสถียรและปลอดภัย อัพเกรดสัญญาณให้ไกลขึ้น (300 เมตรในที่โล่ง) และเน้นความปลอดภัยต่อสุขภาพของลูกน้อย (มีใบแล็บเทสจากสถาบันระดับโลก)
  • Two-Way Audio สื่อสารสองทาง พูดคุยโต้ตอบกับลูกได้
  • ฟีเจอร์ครบครัน
    • แจ้งเตือนเสียงดังเมื่อห้องร้อนเกินไป (ป้องกันฮีทสโตรก)
    • แจ้งเตือนการให้นม
    • แจ้งเตือนเมื่อลูกร้องไห้
    • มีเพลงกล่อมเด็ก 8 เพลง
    • บันทึกวิดีโอลง Micro SD Card (รองรับสูงสุด 32GB)
    • แบตเตอรี่จออึดขึ้น ใช้งานได้นานขึ้น
  • ไม่ต้องใช้ Wi-Fi (สำหรับรุ่นจอเฉพาะ) สามารถใช้งานได้เลยโดยไม่ต้องมีอินเทอร์เน็ต
  • ดีไซน์สวยงาม ดีไซน์ตัวเครื่องและกล้องดูดี ทันสมัย
  1. Artex home Baby Monitor ส่วนใหญ่เป็นกล้องดูลูกแบบใช้จอแสดงผลเฉพาะ (Dedicated Monitor) และบางรุ่นอาจเป็นกล้อง Wi-Fi ที่สามารถใช้เป็น Baby Monitor ได้ Artex Home ดูเหมือนจะเน้นไปที่ความสะดวกในการใช้งานแบบ Plug & Play ไม่ต้องยุ่งยากกับการตั้งค่า Wi-Fi เหมาะสำหรับพ่อแม่ที่ต้องการความเรียบง่ายและไม่ต้องกังวลเรื่องสัญญาณอินเทอร์เน็ต

 จุดเด่น

  • มินิไร้สาย ไม่ต้องใช้ Wi-Fi เน้นการใช้งานที่ง่ายและสะดวก ไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหรือบลูทูธ
  • ใช้งานง่าย เน้นความสะดวกในการติดตั้งและใช้งาน
  • สนทนาผ่านกล้องได้ มีฟังก์ชัน Two-Way Audio
  • ใส่เมมการ์ดได้ สามารถบันทึกวิดีโอลง Micro SD Card ได้
  1. Neero Baby Monitor กล้องดูลูกแบบใช้จอแสดงผลเฉพาะ (Dedicated Monitor) Neero เหมาะสำหรับผู้ที่ให้ความสำคัญสูงสุดกับความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูล เนื่องจากไม่ต้องเชื่อมต่อ Wi-Fi และมีแบตเตอรี่จอที่ใช้งานได้นาน ฟีเจอร์พื้นฐานครบครันพร้อมภาพที่คมชัด

จุดเด่น

  • ปลอดภัย ไม่ต้องใช้ Wi-Fi เน้นความปลอดภัยจากแฮกเกอร์ เนื่องจากใช้เทคโนโลยี 2.4GHz FHSS ที่เข้ารหัสสูง ไม่ต้องพึ่งพา Wi-Fi
  • จอภาพคมชัด จอภาพความละเอียดสูง 5.5 นิ้ว (HD 720P)
  • Night Vision คมชัด ใช้หลอดไฟ LED อินฟราเรด 940 นาโนเมตร ที่มองไม่เห็นด้วยตา (ไม่รบกวนการนอนของทารก) มองเห็นชัดในที่มืด 3-5 เมตร
  • Two-Way Audio สามารถปลอบโยนและสื่อสารกับลูกน้อยได้จากระยะไกล
  • Long Standby Time แบตเตอรี่จอภาพใช้งานได้นานถึง 24 ชั่วโมงในโหมดสแตนด์บาย (แบตเตอรี่ 5000mAh)
  • Digital Zoom ซูมดิจิทัลเพื่อดูรายละเอียดลูกน้อยได้
  • สามารถเพิ่มกล้องเสริมได้ รองรับการเชื่อมต่อกล้องเสริมได้สูงสุด 4 ตัว
  1. Hubble Connect Nursery Pal Deluxe Baby Monitor กล้องดูลูกแบบมีจอแสดงผล (Dedicated Monitor) ที่เชื่อมต่อ Wi-Fi ได้ (Hybrid) Hubble Connect Nursery Pal Deluxe เป็นกล้องอัจฉริยะที่ครบครันทั้งฟังก์ชันพื้นฐานและฟีเจอร์เสริม ตอบโจทย์ทั้งการใช้งานแบบมีจอแสดงผลและการดูผ่านแอปมือถือ เหมาะสำหรับพ่อแม่ที่ต้องการเทคโนโลยีและฟังก์ชันที่หลากหลาย ทั้งการดูแลลูกและฟีเจอร์ด้านความบันเทิง/พัฒนาการ

จุดเด่น

  • หน้าจอสัมผัส HD ขนาด 5 นิ้ว คุณภาพภาพคมชัด และหน้าจอเป็นแบบสัมผัสใช้งานง่าย
  • กล้องไร้สายแบบพกพา มีแบตเตอรี่ในตัวกล้อง ทำให้สามารถเคลื่อนย้ายกล้องได้สะดวก
  • Remote Pan, Tilt, และ Zoom สามารถควบคุมการหมุน เอียง และซูมกล้องได้จากระยะไกล (ระยะสูงสุด 300 เมตรจากจอแสดงผล)
  • Two-Way Talk สื่อสารสองทางกับลูกน้อย
  • ฟีเจอร์เพื่อความบันเทิง จอแสดงผลสามารถเป็น "Interactive Viewer" สำหรับเด็กได้ โดยมีวิดีโอ หนังสือภาพ และเกมที่โหลดไว้ล่วงหน้า
  • ฟีเจอร์ Smart Home
    • เซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิห้อง
    • Infrared Night Vision (Night Color)
    • เสียงธรรมชาติกล่อมเด็ก และเพลงกล่อม
    • รองรับ Amazon Alexa และ Google Assistant
    • การเชื่อมต่อ Wi-Fi ส่วนตัวและปลอดภัย
    • บันทึกวิดีโอและแจ้งเตือนผ่านแอป HubbleClub (ฟรี 24 ชม. สำหรับกิจกรรมบันทึก)
    • มี HubbleGrip สำหรับติดตั้งกล้องได้หลากหลาย
  • Sleep Trainer ฟีเจอร์ช่วยฝึกการนอนหลับของลูก (ในบางรุ่น/การสมัครสมาชิก)
  1. Prince & Princess Safe & Sound Plus กล้องดูลูกแบบ Wi-Fi (Smart Baby Monitor) Prince & Princess Safe & Sound Plus เป็นกล้องดูลูกแบบ Wi-Fi ที่มีฟีเจอร์ครบครันตามมาตรฐานกล้อง Smart Home ในราคาที่เข้าถึงง่าย เหมาะสำหรับพ่อแม่ที่เน้นความสะดวกสบายในการดูผ่านสมาร์ทโฟนได้ทุกที่ทุกเวลา

จุดเด่น

  • เชื่อมต่อผ่านแอปบนมือถือ เน้นการใช้งานผ่านแอปพลิเคชัน "YI Iot" บนสมาร์ทโฟน (iOS/Android) ทำให้ดูได้ทุกที่ที่มีอินเทอร์เน็ต
  • ภาพคมชัดสูง Full HD 1080P (บางรุ่นระบุ 2K Extra Wide)
  • มุมมองกว้างและหมุนได้ หมุนได้ 355 องศา และขึ้น-ลงได้ 110 องศา เห็นได้ทั่วทุกมุมห้อง
  • Night Vision อัจฉริยะ ระบบอินฟราเรดอัตโนมัติ มองเห็นชัดแม้ในที่มืดได้ไกลถึง 10 เมตร
  • Two-Way Audio สื่อสารสองทางได้คมชัด Real-Time
  • ระบบตรวจจับอัจฉริยะ
    • Movement Detection (ตรวจจับความเคลื่อนไหว)
    • BABY CRYING DETECTION (ตรวจจับเสียงร้องไห้) พร้อมแจ้งเตือนผ่านมือถือทันที
  • การบันทึกภาพ รองรับ Micro SD Card (สูงสุด 128GB) และบันทึกผ่านระบบ Cloud (มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม)
  • ใช้งานง่าย ควบคุมง่ายผ่านแอปพลิเคชัน
  • แชร์การใช้งาน สามารถแบ่งปันให้สมาชิกในครอบครัวดูพร้อมกันได้สูงสุด 4 Account

บทส่งท้าย

การเลือกกล้องดูลูกที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่คลายความกังวลและมีเวลาส่วนตัวมากขึ้นได้อย่างสบายใจ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นที่มีฟีเจอร์จัดเต็มหรือรุ่นพื้นฐานที่ตอบโจทย์การใช้งานทั่วไป สิ่งสำคัญคือการเลือกกล้องที่สามารถให้ความอุ่นใจและช่วยให้คุณดูแลลูกน้อยได้อย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง หากคุณกำลังมองหากล้องวงจรปิดสำหรับดูแลความปลอดภัยโดยรวมของบ้าน หรือต้องการเปรียบเทียบข้อมูลเพิ่มเติม สามารถดูข้อมูลได้ที่บทความของเรา กล้องวงจรปิด ยี่ห้อไหนดี

สิ้นสุดบทความ