Welcome Citizen!

บันทึกตอนนี้เลย แล้วซื้อทีหลัง เราจะแจ้งคุณถ้าราคาลด

Welcome Citizen!

Setup your account or continue reading!

Settings
ลําโพง JBL กับ Sony อันไหนดีกว่ากัน

เปรียบเทียบ ลําโพง JBL กับ Sony อันไหนดีกว่ากัน

ลําโพง JBL กับ Sony ด้านคุณภาพเสียง ฟีเจอร์ ราคา และการใช้งานจริง ให้คุณตัดสินใจเลือกเสียงที่ใช่

ลําโพงเป็นหัวใจสำคัญของการฟังเพลง การชมภาพยนตร์ หรือการใช้งานในชีวิตประจำวัน เมื่อพูดถึงแบรนด์ยอดนิยมในตลาดลําโพงในไทย อย่าง JBL และ Sony ต่างก็มีจุดเด่นที่ชัดเจน หลายคนอาจสงสัยว่า ลําโพง JBL กับ Sony อันไหนดีกว่ากัน บทความนี้จะช่วยเปรียบเทียบคุณสมบัติ ฟีเจอร์ และประสบการณ์ใช้งานจริง เพื่อให้คุณเลือกได้ตรงกับความต้องการมากที่สุด


บรรณาธิการ

Puifaii chevron_right

...

เสียงของ ลําโพง JBL กับ Sony แตกต่างกันอย่างไร

เมื่อเปรียบเทียบลําโพง JBL กับ Sony จะพบว่าทั้งสองแบรนด์มีจุดเด่นที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ทั้งในเรื่องคุณภาพเสียง ฟีเจอร์ เทคโนโลยี และการออกแบบ โดย JBL มักเน้นเสียงเบสที่หนักแน่น เหมาะกับการใช้งานกลางแจ้งและสายปาร์ตี้ ในขณะที่ Sony เด่นเรื่องเสียงบาลานซ์ รายละเอียดครบถ้วน ตอบโจทย์การฟังเพลงหลายแนว รวมถึงฟีเจอร์เสียงไร้สายคุณภาพสูง เช่น LDAC และโหมด ULT Mode

  • ลําโพง JBL มักให้เสียงเบสที่หนักแน่น กระแทกกระทั้น เหมาะกับแนวเพลง EDM, Hip-Hop และการจัดปาร์ตี้กลางแจ้ง โดยเสียงกลางและเสียงสูงอาจไม่ได้ละเอียดเท่าเจ้าอื่น แต่ฟังสนุก สดใสเป็นเอกลักษณ์
  • ลําโพง Sony จะเน้นเสียงบาลานซ์ รายละเอียดครบถ้วน เหมาะสำหรับเพลง Pop, Jazz, Acoustic หรือไฟล์เพลงบิตเรตสูง ฟีเจอร์ ULT Mode (ในบางรุ่น) ช่วยเพิ่มเบสอย่างมีมิติ ส่วนโค้ดเสียง LDAC/aptX HD ช่วยให้เสียงไร้สายคุณภาพใกล้เคียงต้นฉบับ

ลําโพง JBL กับ Sony ยี่ห้อไหนกันนํ้าได้ดีกว่า

เมื่อพูดถึงลำโพงที่กันน้ำได้ระหว่าง JBL และ Sony ทั้งสองแบรนด์มีลำโพงที่รองรับมาตรฐานกันน้ำ แต่มีรายละเอียดที่แตกต่างกันในเรื่องของระดับการป้องกันน้ำและฝุ่น รวมถึงประสิทธิภาพในการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นหรือเปียก

  • ลําโพง JBL รองรับมาตรฐาน IPX7 หรือ IP67 จะสามารถทนน้ำได้ดีกว่า Sony ในบางรุ่น โดยเฉพาะรุ่นที่เป็น IPX7 ที่สามารถทนน้ำได้ดีถึงขั้นจมน้ำในความลึก 1 เมตร ซึ่งเหมาะสำหรับการใช้งานในน้ำได้ดีเยี่ยม

  • ลำโพง Sony มีมาตรฐาน IP67 ก็สามารถทนน้ำและฝุ่นได้ดี แต่บางรุ่นอาจไม่ทนทานต่อการจมน้ำในระยะเวลานานเหมือนกับ JBL


ลําโพง JBL กับ Sony ตัวไหนเหมาะกับการดูหนังหรือเล่นเกม

ถ้าเน้นเสียงเบสหนักๆ และต้องการประสบการณ์เสียงที่กว้างขวาง ลำโพง JBL จะตอบโจทย์ได้ดีกว่า แต่ถ้าเน้นความละเอียดเสียงพูดและเสียงซาวด์แทร็กที่คมชัด ลำโพง Sony จะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า

  • ลําโพง JBL (PartyBox Series) เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบเบสหนักๆ เสียงกระหึ่มในการดูหนังหรือเล่นเกมที่เน้นเอฟเฟกต์ เช่น หนังแอ็คชั่นหรือเกมที่มีการระเบิดและเสียงหนักๆ

  • ลำโพง Sony (SRS-XE หรือ SRS-ULT Field Series) เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรายละเอียดเสียงที่ชัดเจน โดยเฉพาะเสียงพูดในหนังหรือเกม ที่ให้รายละเอียดของเสียงกลางและสูงที่คมชัด


ฟีเจอร์เฉพาะของลำโพง JBL

JBL มักจะเน้นเรื่องเสียงเบสที่หนักแน่นและชัดเจน รวมถึงการออกแบบที่แข็งแรงทนทาน เหมาะกับคนที่ชอบพลังเสียงเต็ม ๆ

  1. เทคโนโลยี Bass Radiator (Passive Radiator) JBL หลายรุ่นใช้ไดอะเฟรมแบบ Passive Radiator ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเสียงเบสให้ลึกและแน่นขึ้น โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดตัวลำโพงให้ใหญ่จนพะรุงพะรัง คุณจะรู้สึกได้ถึงความกระชับของเสียงเบสโดยไม่บิดเบือน
  2. ระบบ JBL Signature Sound JBL ให้ความสำคัญกับเสียงกลาง-เบสที่เด่นชัด มีการเซ็ตค่า EQ มาล่วงหน้าเพื่อให้เสียงออกมาเป็นเอกลักษณ์ มีความสว่างชัดเจน เหมาะสำหรับเพลงแนวแดนซ์ อิเล็กทรอนิกส์ หรือแนวป๊อปที่เน้นจังหวะ เบสและเสียงร้องชัดเจน
  3. ดีไซน์กันน้ำและกันฝุ่นตามมาตรฐาน IPX ลำโพงพกพารุ่นยอดนิยมของ JBL อย่าง Flip, Charge หรือ Xtreme จะมาพร้อมมาตรฐาน IPX5 หรือ IPX7 ทำให้ท่านมั่นใจได้ว่าจะพกไปริมสระน้ำ ปิคนิค หรือปาร์ตี้ริมทะเลได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องละอองน้ำหรือฝุ่นเข้าภายใน อีกทั้งวัสดุภายนอกถูกออกแบบมาให้ทนต่อการขูดขีดและตกกระแทกระดับหนึ่ง
  4. ฟีเจอร์ JBL Connect, PartyBoost หรือ True Wireless Stereo (TWS) ฟังก์ชันเชื่อมต่อลำโพงหลายตัวเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างเสียงกระหึ่มหลายทิศทางได้ง่าย ๆ ผ่านแอปฯ JBL Connect หรือ PartyBoost (ขึ้นกับรุ่นและปีที่ออก) ท่านสามารถจับคู่ลำโพง JBL สองตัวหรือมากกว่าเพื่อเพิ่มขนาดเสียงให้เต็มพื้นที่ได้ทันที
  5. แบตเตอรี่อึด ทนทาน โดยเฉพาะรุ่นยอดนิยมอย่าง Charge Series หรือ Xtreme Series จะสเปคแบตเตอรี่อยู่ที่ 20 ชั่วโมงขึ้นไป ทำให้ท่านใช้งานได้ต่อเนื่องตลอดวันโดยไม่ต้องชาร์จบ่อย นอกจากนี้รุ่น Charge ยังสามารถทำหน้าที่เป็น Power Bank ชาร์จอุปกรณ์มือถือได้ในตัว
  6. โครงสร้างภายนอกแข็งแรง ทนต่อการใช้งานจริง ตัวโครงลำโพงมักจะใช้วัสดุผสมระหว่างพลาสติกแข็งและผ้ารองลำโพงที่ทนทาน ไม่เกิดรอยขีดข่วนง่าย เหมาะกับไลฟ์สไตล์สายลุย ไม่ว่าจะเอาไปใช้งานกลางแจ้ง หรือในห้องฟังเพลงส่วนตัวก็ตาม

ฟีเจอร์เฉพาะของลำโพง Sony

Sony จะเน้นเรื่องเสียงที่บาลานซ์ คมชัดในทุกย่านความถี่ พร้อมฟีเจอร์ทางเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยและเชื่อมต่อหลากหลาย

  1. เทคโนโลยี EXTRA BASS และ DSEE (Digital Sound Enhancement Engine) ถึงแม้ Sony จะมีรุ่นที่เน้นเบสจัดจ้าน เช่น ซีรีส์ Extra Bass แต่ก็ยังคงบาลานซ์เสียงกลาง-แหลมให้ออกมาชัดเจนด้วย DSEE ที่ช่วยอัพสเกลไฟล์เพลงที่บีบอัดให้กลับมาใกล้เคียงต้นฉบับมากขึ้น ทำให้ท่านได้ฟังเพลงคุณภาพสูงแม้อยู่ในไฟล์ MP3
  2. ระบบ ClearAudio+ และ LDAC Codec ลำโพงไร้สายหลายรุ่นของ Sony รองรับ LDAC โค้ดคอมเพรสเสียงแบบความละเอียดสูงของ Sony ที่ส่งข้อมูลได้มากกว่า Bluetooth ปกติ 3 เท่า ทำให้เสียงที่ส่งผ่าน Bluetooth ยังคงคุณภาพสูงกว่าโค้ดเดิม ช่วยให้ท่านได้เสียงที่คมชัดในทุกย่าน ทั้งเสียงร้อง เสียงเครื่องสาย และเบส
  3. ฟีเจอร์ Live Sound / 360 Reality Audio (ในบางรุ่น) บางรุ่นของ Sony เช่น SRS-XB43 หรือรุ่นเรือธงเชิงพกพา มีโหมด Live Sound ที่ปรับแต่งลำโพงให้กระจายเสียงออกมาคล้ายการฟังสด จากนั้นในอนาคตรุ่นใหม่ ๆ เริ่มรองรับ 360 Reality Audio ทำให้เสียงล้อมรอบราวกับอยู่ในคอนเสิร์ตจริง ๆ แม้ว่าจะใช้หูฟังก็ตาม
  4. ดีไซน์เรียบหรู พร้อมวัสดุป้องกันฝุ่นและน้ำบางระดับ แม้จะไม่กันน้ำกันฝุ่นระดับเข้มเท่า JBL แต่ Sony หลายรุ่นออกแบบให้ตอบโจทย์ด้านความหรูพรีเมียม โครงเหล็กและพลาสติกแข็งคุณภาพสูง บางรุ่นกันน้ำระดับ IPX5 เหมาะกับการใช้งานทั่วไปทั้งในบ้านและเอาท์ดอร์
  5. เชื่อมต่อหลายอุปกรณ์ผ่าน Fast Pair, NFC และ Party Chain Sony ให้น้ำหนักกับการเชื่อมต่อไร้สายแบบรวดเร็ว บางรุ่นรองรับ NFC เพียงแตะก็ Pair กับมือถือได้ทันที หรือฟังก์ชัน Fast Pair ใน Android สำหรับ Bluetooth ที่จับคู่ได้รวดเร็ว และฟีเจอร์ Party Chain / Party Connect ให้เดิมเสียงไปยังลำโพง Sony หลายตัวพร้อมกัน สร้างประสบการณ์ปาร์ตี้ได้แบบลื่นไหล
  6. แบตเตอรี่ที่ปรับตามโหมดใช้งาน หลายรุ่นตั้งค่าให้ปรับการใช้พลังงานได้ เช่น โหมดเสียงเบสหนัก (Extra Bass) จะกินแบตประมาณ 6–9 ชั่วโมง แต่หากสลับมาโหมดมาตรฐาน (Normal) จะใช้งานได้ยาวถึง 24 ชั่วโมง ช่วยให้ท่านเลือกปรับตามงานอดิเรก หรือสไตล์การฟังได้ตรงใจ
  7. อินเทอร์เฟซใช้งานผ่านแอป Sony / Music Center Sony มีแอป Music Center ให้ปรับ EQ ตั้งค่าโหมดเสียงต่าง ๆ อัปเดตเฟิร์มแวร์ หรือสารพัดลูกเล่นจากสมาร์ทโฟนได้ตรง ไม่ต้องกดปุ่มบนลำโพงให้วุ่นวาย ช่วยให้การปรับแต่งเสียงสะดวกและรวดเร็วกว่า

บทส่งท้าย

เมื่อพิจารณาทั้งคุณภาพเสียง ฟีเจอร์ ดีไซน์ และราคา หากคุณเป็นชอบสายเบสหนัก ชอบความสดใสแบบปาร์ตี้ อยากได้ลําโพงที่ทนทานต่อการใช้งานกลางแจ้ง JBL จะตอบโจทย์ได้ดี แต่หากเน้นคุณภาพเสียงบาลานซ์ รายละเอียดครบครัน พร้อมฟีเจอร์ไฮเทคระดับโปร Sony ก็ถือเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่า เลือกให้ตรงกับสไตล์การฟัง เพื่อประสบการณ์เสียงที่ดีที่สุด สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับลําโพง JBL สามารถอ่านได้ที่ ลําโพง JBL รุ่นไหนดี

สิ้นสุดบทความ