การออกกำลังกายกลายเป็นไลฟ์สไตล์หลักของคนรักสุขภาพ นาฬิกาอัจฉริยะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยติดตามและวัดผลการฝึกซ้อมได้อย่างทันสมัย Garmin และ Apple Watch คือสองแบรนด์ยอดนิยมที่มักถูกเปรียบเทียบกันอยู่เสมอ Garmin เด่นเรื่องคุณสมบัติด้านกีฬาและแบตเตอรี่อึด ส่วน Apple Watch มุ่งไปที่ระบบนิเวศของ iPhone และฟีเจอร์ด้านสุขภาพแบบครบวงจร บทความนี้จะนำเสนอข้อมูลเชิงเทคนิคแบบเข้าใจง่าย เปรียบเทียบทั้งสองรุ่นอย่างละเอียด เพื่อให้คุณเห็นภาพชัดเจนว่ารุ่นไหนเหมาะกับไลฟ์สไตล์ออกกำลังกายของคุณที่สุด

บรรณาธิการ
Table of Contents
ความแตกต่างระหว่าง Garmin กับ Apple Watch
ระบบปฎิบัติการและการเชื่อมต่อ
- Garmin รองรับการใช้งานร่วมกับทั้ง Android และ iOS ทำให้คุณสามารถใช้สมาร์ทโฟนแบรนด์ไหนก็ได้ ไม่จำกัด แต่บางฟีเจอร์เชิงลึกอาจดึงข้อมูลได้เฉพาะผ่านแอป Garmin Connect
- Apple Watch ออกแบบมาเพื่อใช้งานกับ iPhone โดยตรง คุณจะได้ประสบการณ์การเชื่อมต่อที่ลื่นไหลที่สุด ฟีเจอร์อย่างการโทร-รับข้อความ การใช้ Siri และการติดตั้งแอปเสริมจะทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ เมื่อเทียบกับการใช้งานกับ Android ที่ทำได้จำกัดกว่า
การติดตามสุขภาพและกิจกรรม
- Garmin เน้นติดตามกิจกรรมกีฬาอย่างละเอียด เช่น วิ่ง ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ ปีนเขา รวมถึงโหมดการฝึกซ้อมเฉพาะกว่า 80 รูปแบบ ข้อมูลเชิงลึกอย่าง VO2 Max, Training Load, Recovery Time และ Body Battery เหมาะกับผู้ที่จริงจังเรื่องการออกกำลังกายและต้องการสถิติละเอียด
- Apple Watch ให้ภาพรวมการเคลื่อนไหวด้วย Activity Rings แบ่งเป็น Move, Exercise, Stand เห็นสถิติการเผาผลาญแคลอรี่และชั่วโมงออกแรงของคุณในแต่ละวัน พร้อมฟีเจอร์วัดอัตราการเต้นหัวใจ, วัดออกซิเจนในเลือด, ติดตามการนอนหลับ และตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) เหมาะกับผู้ที่เน้นติดตามสุขภาพและกิจกรรมประจำวันมากกว่าการฝึกซ้อมเชิงลึก

ความแม่นยำของ GPS และเซนเซอร์
- Garmin ขึ้นชื่อเรื่องความแม่นยำของ GPS โดยเฉพาะรุ่นที่ใช้ Multi-Band GNSS ทำให้จับสัญญาณได้แม่นยำทั้งในป่าและในเมืองสูงอาคาร เหมาะกับการฝึกซ้อมกลางแจ้งในสภาพแวดล้อมท้าทาย
- Apple Watch รุ่นล่าสุดอย่าง Ultra 2 ได้ปรับปรุงมาใช้ Dual-Frequency GPS ทำให้แม่นยำขึ้นมากสำหรับการใช้งานบนถนนหรือเส้นทางเปิดโล่ง แต่ถ้าใช้งานในพื้นที่ที่มีสัญญาณรบกวนมาก Garmin ยังได้เปรียบเรื่องเสถียรภาพ
แบตเตอรี่
- Garmin โดดเด่นเรื่องอายุการใช้งาน หากเป็นรุ่น Smartwatch สามารถอยู่ได้ 15–30 วันต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ขึ้นกับรุ่นและโหมดการใช้งาน รุ่น Solar Charging จะยืดอายุได้อีกหลายวัน โดยไม่ต้องชาร์จบ่อย เหมาะกับผู้ที่เดินทางไกลหรือไม่สะดวกชาร์จบ่อย
- Apple Watch อายุแบตฯ เฉลี่ยอยู่ประมาณ 18–36 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง หากใช้งาน GPS ต่อเนื่องหรือเปิด Always-On Display แบตฯ จะลดเร็วกว่านี้ เหมาะกับผู้ที่ชาร์จเป็นประจำทุกคืนและเน้นฟีเจอร์สมาร์ททุกวัน
การออกแบบและวัสดุ
- Garmin ดีไซน์สไตล์สปอร์ต แข็งแรง ทนทานต่อแรงกระแทก และกันน้ำได้ลึก มักใช้วัสดุอย่างไททาเนียมหรือกระจกซาฟไฟร์ บางรุ่นสายซิลิโคนระบายอากาศดี ใส่สบายทนทาน เหมาะกับการใช้งานกลางแจ้งหรือกิจกรรมเอ็กซ์ตรีม
- Apple Watch ดีไซน์เรียบหรู เลือกกรอบได้ทั้งอะลูมิเนียม สแตนเลสไททาเนียม และมีสายให้เลือกหลากหลาย (สายกีฬา สายหนัง หรือสายโลหะ) สวมใส่ได้ทั้งออกกำลังกายและใส่ลุคทางการ แต่ในแง่ความทนทานต่อแรงกระแทกอาจสู้ Garmin รุ่นทนทานพิเศษไม่ได้เต็มที่
ฟีเจอร์สมาร์ทและแอปเสริม
- Garmin รองรับการแจ้งเตือนสายโทรเข้า ข้อความ และอีเมลจากสมาร์ทโฟนได้ แต่ไม่สามารถตอบกลับโดยตรงผ่านตัวเรือนได้ มีแอป Garmin Connect เพื่อซิงก์สถิติและแชร์ข้อมูลไปยังแพลตฟอร์มอื่น เช่น Strava, TrainingPeaks
- Apple Watch รับ-ส่งข้อความ โทรศัพท์ ใช้งาน Siri เล่นเพลง ดูแจ้งเตือนแอปต่างๆ ได้ตรงจากข้อมือ มี App Store ให้ดาวน์โหลดแอปเสริมหลากหลาย เช่น Strava, MyFitnessPal, Spotify และยังอัปเดตฟีเจอร์ใหม่ๆ อย่างสม่ำเสมอ เช่น ตรวจจับการล้มและ Emergency SOS
สายคาดิโอ เลือกนาฬิกา Garmin หรือ Apple Watch ดี
ถ้าคุณเป็นสายคาดิโอ ให้โฟกัสไปที่รุ่นที่มี GPS Dual/Multi-Band แม่นยำ แบตเตอรี่อยู่ได้นานในโหมด GPS เช่น Garmin Forerunner 570 / 970, Garmin Instinct 3 Solar และ Apple Watch Ultra 2
Garmin Forerunner 570
- GPS Dual-Band แม่นยำ จับสัญญาณดีในเมืองหรือพื้นที่มีเงาบัง
- วัด VO2 Max, Pace, Cadence, Training Load, Recovery Time แบบเจาะลึก
- แบตเตอรี่วิ่งต่อเนื่องโหมด GPS ได้ 25–30 ชั่วโมง
- ตัวเรือนเบา วัสดุ Gorilla Glass 3 ป้องกันรอยขีดข่วน
- เหมาะกับสายวิ่งจริงจัง มาราธอน หรือปั่นจักรยานระยะไกล

Garmin Forerunner 970
- รุ่นยกระดับของ 570 เพิ่มหน้าจอ AMOLED สว่างขึ้น ใช้งานกลางแดดชัดกว่า
- มีหน่วยความจำเก็บเพลงในตัว รองรับแผนที่พื้นฐาน Multi-GNSS
- คุณสมบัติเจาะลึกเหมือน 570 แต่ดีไซน์หรูกว่าเล็กน้อย
- แบตเตอรี่วิ่งต่อเนื่องโหมด GPS ได้ 27–30 ชั่วโมงเหมือนกัน
- ตอบโจทย์สายคาดิโอที่อยากได้ความบันเทิงด้วยเพลงขณะวิ่ง

Garmin Instinct 3 Solar
- หน้าจอพลังงานแสงอาทิตย์ ชาร์จไฟระหว่างวิ่งกลางแจ้งได้
- โหมดวิ่ง/ปั่นจักรยาน วัด Pace, Cadence, VO2 Max, Body Battery
- ตึกจอทนทาน MIL-STD 810 กันน้ำ 100 เมตร ใช้งานกลางแจ้งสุดโหดได้
- แบตเตอรี่โหมด GPS (Solar) ใช้งานได้ 35–40 ชั่วโมง ขึ้นกับแสงแดด
- เหมาะกับสายคาดิโอที่วิ่งเทรลหรือปั่นจักรกยานผจญภัย

Apple Watch Series 10
- GPS Dual-Frequency จับตำแหน่งแม่นยำบนถนนหรือเส้นทางเปิดโล่ง
- วัด Heart Rate, VO2 Max เบื้องต้นผ่านแอป Fitness ของ Apple
- ฟีเจอร์ Health ครบทั้ง ECG, SpO₂, Sleep Tracking
- แบตเตอรี่ใช้งานจริง 18–24 ชั่วโมง (GPS ติดตามประมาณ 8–10 ชั่วโมง)
- เหมาะกับสายคาดิโอที่ใช้ iPhone เป็นหลัก ต้องการข้อมูลภาพรวม และการเชื่อมต่อระบบ Apple Ecosystem

Apple Watch Ultra 2
- จัดเต็มเรื่อง GPS Dual-Frequency และวัสดุไททาเนียม ทนทานกว่า Series 10
- แบตเตอรี่โหมด GPS ใช้งานต่อเนื่องได้ประมาณ 36 ชั่วโมง
- รองรับฟีเจอร์ Outdoor เช่น Depth Gauge, Waypoint Marking
- หน้าจาสว่างสุด อ่านกลางแดดชัดเจน เหมาะกับการวิ่งกลางแจ้งหรือปั่นเส้นทางไกล
- เหมาะกับสายคาดิโอที่เน้นความบันเทิง ความแม่นยำ และใช้งานลุยได้เต็มที่

สายเวทเทรนนิ่ง เลือกนาฬิกา Garmin หรือ Apple Watch ดี
สำหรับสายเวทเทรนนิ่ง ให้เลือกนาฬิกาที่มีโหมด Strength Training นับ Rep/Set อัตโนมัติ และแบตเตอรี่โหมด Smartwatch อยู่ได้นานหลายวัน เช่น Garmin Venu 2 Plus, Garmin Vivoactive 5, Apple Watch Series 10 แล ะApple Watch Ultra 2
Garmin Venu 2 Plus
- หน้าจอ AMOLED สีสวย อ่านชัด แสดง Rep/Set อัตโนมัติเมื่อเลือกโหมด Strength Training
- ตั้ง Rest Timer ได้ในตัว และวัดแคลอรี่ช่วงพักอย่างละเอียด
- ฟีเจอร์ Body Battery และ Stress Tracking ช่วยบอกว่าร่างกายพร้อมเวทรึเปล่า
- แบตเตอรี่โหมด Smartwatch อยู่ได้ 10–12 วัน
- ตัวเรือน Gorilla Glass 3 กันรอยขีดข่วน ใส่สบายตลอดวันในยิม

Garmin Vivoactive 5
- จอ AMOLED รองรับโหมด Strength Training นับ Rep/Set และตั้ง Rest Timer ได้
- วัด Heart Rate ตลอดเวลา แสดงกราฟแคลอรี่แบบเรียลไทม์
- แอป Garmin Connect ช่วยซิงก์ข้อมูล Rep/Set ไปยัง Strava หรือ TrainingPeaks อัตโนมัติ
- แบตเตอรี่ Smartwatch อยู่ได้ 11 วัน
- เหมาะกับสายเวทที่ต้องการฟีเจอร์ก้าวหน้า แต่ยังอยากความเป็นสมาร์ทวอชสำหรับทุกวัน

Garmin Instinct 3 (รุ่น E)
- รุ่นประหยัด แต่ยังรองรับโหมด Strength Training เบื้องต้น นับ Rep/Set แบบคร่าวๆ
- วัสดุทนทาน MIL-STD 810 กันน้ำ 100 เมตร
- แบตเตอรี่โหมด Smartwatch อยู่ได้ 14 วัน (ไม่ต้องสนใจ GPS)
- เหมาะกับสายเวทที่เน้นความทนทาน เก็บข้อมูลเบื้องต้นได้ ไม่อยากจ่ายแพงเท่ารุ่น Venu/Vivoactive

Apple Watch Series 10 / SE
- โหมด Strength Training ในแอป Workout สามารถเก็บเวลา เซ็ต และแคลอรี่ให้คุณ
- ถ้าต้องการนับ Rep/Set อัตโนมัติต้องใช้แอปเสริมอย่าง Strong หรือ JEFIT ร่วมด้วย
- วัด Heart Rate, Calories, มี Rest Timer ของ Shortcut บน iPhone ช่วยตั้งเตือนได้
- แบตเตอรี่ Smartwatch อยู่ได้ 18–24 ชั่วโมง (ถ้าไม่เปิด GPS ตลอดจะอยู่ได้ 2 วัน)
- เหมาะกับสายเวทที่ใช้ iPhone และยอมรับการพึ่งแอปเสริมบ้าง เพื่อเก็บ Rep/Set อัตโนมัติ

Apple Watch Ultra 2
- กันน้ำ 100 เมตร ทนทานตัวเรือนไททาเนียมแม้ในห้องยกน้ำหนักที่มีการกระแทก
- โหมด Strength Training ภายใน watchOS เก็บข้อมูลเซ็ตและแคลอรี่ได้ แม่นยำกว่า Series ปกติ
- แบตเตอรี่ Smartwatch อยู่ได้ 36 ชั่วโมง (โดยไม่เปิด GPS ตลอด)
- เหมาะกับสายเวทที่เน้นฝึกหนัก ต้องการนาฬิกาทนทานดูดีในยิม พร้อมฟีเจอร์สมาร์ทเต็มรูปแบบ

บทส่งท้าย
สายฟิตเนสที่ต้องการติดตามข้อมูลเชิงลึก แบตเตอรี่อึด ใช้งานกลางแจ้งบ่อยๆ และไม่ได้ผูกกับ iPhone แบบเอกสิทธิ์ Garmin จะตอบโจทย์คุณได้ดีกว่า แต่ถ้าคุณใช้ iPhone อยู่แล้ว ต้องการนาฬิกาที่ใช้งานร่วมกับระบบได้อย่างลื่นไหล มีฟีเจอร์สมาร์ทครบถ้วน และเน้นดีไซน์เรียบหรู Apple Watch ก็เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าไม่น้อย หากคุณต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเลือกนาฬิกาสมาร์ทวอช ลองเข้าไปอ่านบทความหลักของเราได้ที่ นาฬิกาออกกำลังกาย ยี่ห้อไหนดี เพื่อดูเปรียบเทียบแบรนด์และรุ่นอื่นๆ อย่างละเอียด แล้วเลือกนาฬิกาที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์และงบประมาณ