Welcome Citizen!

บันทึกตอนนี้เลย แล้วซื้อทีหลัง เราจะแจ้งคุณถ้าราคาลด

Welcome Citizen!

Setup your account or continue reading!

Settings
ทำความรู้จัก Android Go คืออะไร ทำไมเหมาะกับมือถือราคาถูก

ทำความรู้จัก Android Go คืออะไร ทำไมเหมาะกับมือถือราคาถูก

ระบบปฏิบัติการ Android Go รุ่นเบาบางของ Google ออกแบบมาเพื่อมือถือราคาประหยัด ช่วยปรับประสิทธิภาพให้ลื่นไหล แม้สเปกต่ำ ตอบโจทย์มือถือราคาถูกได้อย่างสมบูรณ์

ใครที่กำลังมองหาโทรศัพท์มือถือราคาประหยัด คงเคยได้ยินคำว่า Android Go บ้างไม่มากก็น้อย แต่หลายคนอาจยังไม่ทราบว่า Android Go นั้นคืออะไร และมีข้อดีอย่างไรกับมือถือราคาถูก ในบทความนี้จะพาไปรู้จักกับ Android Go ตั้งแต่ต้นกำเนิด แนวคิดการพัฒนา ฟีเจอร์หลัก จนถึงเหตุผลว่าทำไม Android Go จึงกลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับมือถือราคาประหยัด แถมช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกซื้อได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น


บรรณาธิการ

Puifaii chevron_right

...

Android Go คืออะไร

Android Go คือ เวอร์ชันเบาของระบบปฏิบัติการ Android ที่ถูกออกแบบมาเพื่อรันบนสมาร์ตโฟนสเปกต่ำ (RAM 2 GB หรือน้อยกว่า) โดยเปิดตัวครั้งแรกพร้อม Android 8.1 (Oreo Go edition) เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2017 เพื่อขยายตลาดไปยังผู้ใช้ในกลุ่ม emerging markets ซึ่งมีอุปกรณ์อินเทอร์เน็ตราคาไม่สูง Android Go จะลดขนาดระบบและจำกัดฟีเจอร์บางส่วนเพื่อให้ประสิทธิภาพลื่นไหลบนฮาร์ดแวร์จำกัด รวมถึงมีแอป Go edition ของ Google (เช่น Google Go, YouTube Go, Maps Go ฯลฯ) ที่กินหน่วยความจำน้อยกว่าเวอร์ชันปกติ


ข้อดีและข้อเสีย Android Go มีอะไรบ้าง

ข้อดีของ Android Go

  1. ใช้ทรัพยากรระบบน้อยกว่ารุ่นปกติ Android Go ปรับแต่งโค้ดให้ใช้ RAM และพื้นที่เก็บข้อมูลน้อยลง ทำให้มือถือที่มี RAM 512 MB–2 GB ทำงานได้ลื่นไหลขึ้นเมื่อเทียบกับ Android เวอร์ชันมาตรฐาน
  2. แอป Go edition มีขนาดเล็กและกินแรมต่ำ ชุดแอปเฉพาะของ Android Go (เช่น Google Go, YouTube Go, Maps Go, Gmail Go) ถูกออกแบบให้กินพื้นที่ติดตั้งหลักสิบเมกะไบต์และใช้ RAM น้อยกว่ารุ่นปกติ ช่วยให้เปิดใช้งานได้เร็วบนเครื่องสเปกต่ำ
  3. ประหยัดดาต้าอัตโนมัติ แอป Chrome Go ถูกตั้งค่าโหมด Data Saver ไว้ล่วงหน้า โดยบีบอัดข้อมูลก่อนโหลดหน้าเว็บ และ YouTube Go ให้เลือกดาวน์โหลดวิดีโอในคุณภาพต่ำเพื่อลดการใช้ดาต้า
  4. Play Store แนะนำเฉพาะแอปเบาสเปก บน Android Go Play Store จะไฮไลต์แอปที่เหมาะกับอุปกรณ์สเปกต่ำเท่านั้น จึงลดโอกาสดาวน์โหลดแอปหนักมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้เครื่องทำงานช้าหรือค้าง
  5. อินเทอร์เฟซเรียบง่าย โฟกัสโครงการพื้นฐาน UI ของ Android Go ตัดฟีเจอร์เสริมที่กินทรัพยากรเช่น split-screen, notification access ออก เพื่อให้การรันระบบเป็นไปอย่างราบรื่นและไม่ซับซ้อน
  6. อัปเดตความปลอดภัยจาก Google อย่างสม่ำเสมอ แม้เป็นเวอร์ชันเบา Android Go ก็ได้รับแพตช์ความปลอดภัยจาก Google ในลักษณะเดียวกับ Android รุ่นมาตรฐาน เพื่อป้องกันมัลแวร์และช่องโหว่ด้านความปลอดภัย
  7. เข้าถึงตลาด emerging markets ได้ดีกว่า การออกแบบให้กินทรัพยากรต่ำช่วยลดต้นทุนผลิตมือถือราคาถูก ทำให้ผู้ใช้ในกลุ่ม emerging markets สามารถเข้าถึงสมาร์ตโฟนได้ง่ายขึ้นตามยุทธศาสตร์ “Next Billion Users” ของ Google
  8. เหมาะสำหรับผู้ใช้มือใหม่หรือผู้ใช้งบจำกัด ผู้ใช้ที่ต้องการใช้งานโทร แชต โซเชียลมีเดีย และดูวิดีโอเบื้องต้นโดยไม่ต้องจ่ายแพง สามารถรับประสบการณ์ใช้งานสมูธบน Android Go ได้ แม้สเปกเครื่องจะไม่สูงนัก

ข้อเสียของ Android Go

  1. ฟีเจอร์หลักบางอย่างถูกตัดออก
    ฟังก์ชันอย่าง split-screen, picture-in-picture และบาง API สำหรับ notification access ถูกปิดเพื่อประหยัด RAM แต่ก็ทำให้ผู้ใช้เสียโอกาสใช้งานฟีเจอร์ขั้นสูงเหล่านี้
  2. ไม่เหมาะกับการเล่นเกมกราฟิกหนักหรือแอปประสิทธิภาพสูง
    แม้ระบบเบา แต่ฮาร์ดแวร์บนสมาร์ตโฟน Go edition มักใช้ชิปเซ็ตระดับล่างและ RAM ต่ำ การรันเกมที่ต้องการกราฟิกระดับสูงหรือการใช้แอปหลายตัวพร้อมกันยังเกิดอาการหน่วงหรือค้างได้ง่าย
  3. คุณภาพกราฟิกและฟังก์ชันในแอป Go อยู่ในระดับพื้นฐาน
    แอปอย่าง Maps Go ไม่มีระบบ GPS แบบเรียลไทม์และรายละเอียดกราฟิกน้อยกว่า Maps เวอร์ชันเต็ม ทำให้การนำทางหรือดูแผนที่บางครั้งคลาดเคลื่อน
  4. ฮาร์ดแวร์สเปกต่ำอาจยังไม่เพียงพอ
    บางรุ่น Android Go ถูกออกแบบมาสำหรับ RAM 512 MB–1 GB ซึ่งในบางกรณีก็ยังเกิดอาการหน่วงเมื่อเปิดแอปพร้อมกันหลายตัวหรือโหลดหน้าเว็บที่หนัก
  5. บางแบรนด์อัปเดตระบบช้ากว่า Android ปกติ
    แม้ Google ส่งแพตช์ความปลอดภัยเป็นระยะ แต่มือถือ Android Go บางแบรนด์อาจไม่มีนโยบายอัปเดตระบบหรือหยุดอัปเดตก่อนกำหนด ทำให้ผู้ใช้เสี่ยงต่อช่องโหว่ในระยะยาว
  6. อินเทอร์เฟซถูกจำกัดฟังก์ชันจนดูน้อยลง
    การจำกัดการแสดงแอปในเมนู recent apps ไม่เกิน 4 แอป แม้ช่วยประหยัด RAM แต่ผู้ใช้บางคนอาจรู้สึกว่าการสลับแอปสะดุดหรือไม่คล่องตัวเท่าที่ควร
  7. ตัวเลือกแอปบางตัวอาจไม่รองรับ Go edition
    แอปบางแอปใน Marketplace อาจไม่มีเวอร์ชัน Go หรือฟีเจอร์สำคัญถูกยกเลิก ทำให้ไม่สามารถใช้งานบางแอปได้เต็มประสิทธิภาพบนอุปกรณ์ Go edition
  8. ความคมชัดของกล้องและประสบการณ์ถ่ายภาพจำกัด สมาร์ตโฟน Go edition มักติดตั้งกล้องประสิทธิภาพต่ำเมื่อเทียบกับมือถือระดับกลางถึงบน งานถ่ายภาพทั่วไปอาจยังด้อยคุณภาพ เมื่อเทียบกับอุปกรณ์ที่ใช้ Android ปกติ

ความแตกต่างระหว่าง Android Go กับ Android รุ่นปกติ

  1. จุดประสงค์การออกแบบและกลุ่มเป้าหมาย
  • Android Go พัฒนามาเพื่อให้ “มือถือสเปกต่ำ” (RAM ไม่เกิน 2 GB, พื้นที่เก็บข้อมูล 8–16 GB) ใช้งานได้ลื่นที่สุดในงบประมาณจำกัด กลุ่มผู้ใช้หลักคือคนที่ต้องการสมาร์ตโฟนพื้นฐาน เอาไว้โทร แชต โซเชียล ดูคลิปเบื้องต้น แต่ไม่จำเป็นต้องรองรับงานหนักหรือแอปฟีเจอร์ครบครัน
  • Android รุ่นปกติ โปรไฟล์คือใช้งานกับมือถือสเปกระดับกลางถึงบน (RAM 3 GB ขึ้นไป, พื้นที่เก็บข้อมูล 32 GB+ ขึ้นไป) เหมาะกับคนที่ต้องการฟีเจอร์ครบทั้งมัลติทาสก์ งานกราฟิก หรือใช้งานแอปโปรดักทีฟที่กินทรัพยากรสูง
  1. ขนาดระบบและการใช้ทรัพยากร
  • Android Go ตัวไฟล์ระบบเล็ก ถูกปรับแต่งให้กิน RAM และพื้นที่จัดเก็บน้อยลง ทำให้ “มือถือสเปกเล็ก” เปิดเครื่องและสลับแอปได้เร็วขึ้น
  • Android ปกติ มีโค้ดและบริการ Google Play Services ฉบับเต็ม ใช้ทรัพยากรมากกว่า จึงจำเป็นต้องมีฮาร์ดแวร์ที่แรงกว่าเพื่อให้ใช้งานได้ลื่น
  1. ชุดแอป “Go edition” เทียบกับแอปปกติ
  • Android Go มาพร้อมกับแอป Google Go, YouTube Go, Maps Go, Gmail Go ฯลฯ ซึ่งกว่าแค่ฟีเจอร์พื้นฐาน มีขนาดติดตั้งแค่หลักสิบ MB ใช้ RAM ต่ำ เปิดปุ๊บตอบสนองทันที แต่ตัดฟังก์ชันเสริมออก เช่น YouTube Go เลือกความละเอียดวิดีโอก่อนดาวน์โหลด ไม่มีฟีเจอร์สตรีมคุณภาพสูง
  • Android ปกติ แอปที่มากับเครื่องคือ Google, YouTube, Maps, Gmail ฉบับเต็ม มีฟีเจอร์ครบ ไม่ว่าจะเป็นแผนที่นำทางเรียลไทม์ ดาวน์โหลดวิดีโอคุณภาพสูง หรือระบบแจ้งเตือนละเอียด แต่กินทรัพยากรมากกว่า
  1. ประสิทธิภาพการจัดการแอปและเมมโมรี
  • Android Go จำกัดการแสดงแอปใน Recent Apps ไม่เกิน 4 แอป เพื่อดึง RAM ที่เหลือไปช่วยแอปที่เปิดอยู่จริงเท่านั้น
  • Android ปกติ เปิดกี่แอปก็ได้ตาม RAM เครื่องรองรับ เรียกสลับแอปหรือใช้งานมัลติทาสก์ได้ตามใจ ไม่ถูกจำกัดจำนวน
  1. Play Store และการติดตั้งแอป
  • Android Go จะเห็นเฉพาะแอปที่ Google จับคู่ว่า “เหมาะกับสเปกต่ำ” ขึ้นมาแนะนำก่อน ช่วยป้องกันไม่ให้ผู้ใช้ไปดาวน์โหลดแอปกินทรัพยากรมากโดยไม่รู้ตัว
  • Android ปกติ Play Store แสดงแอปทุกประเภทให้ดาวน์โหลดได้หมด ผู้ใช้ต้องพิจารณาเองว่าสเปกเครื่องรองรับหรือไม่
  1. การประหยัดเน็ตและข้อมูล
  • Android Go แอปหลักอย่าง Chrome Go จะเปิด Data Saver อัตโนมัติ ช่วยบีบอัดหน้าเว็บก่อนโหลด และ YouTube Go ให้เลือกโหลดวิดีโอในระดับความละเอียดต่ำเพื่อลดปริมาณดาต้า เหมาะกับคนใช้งานเน็ตจำกัด
  • Android ปกติ แม้จะมีโหมดประหยัดดาต้า (Data Saver) แต่ต้องเปิดเอง และแอป YouTube, Chrome บริหารดาต้าตามมาตรฐานที่รองรับการใช้งานคุณภาพสูงเป็นหลัก
  1. ฟีเจอร์ที่ถูกตัดออก
  • Android Go ไม่มีฟีเจอร์ split-screen, picture-in-picture, การตั้งค่าแจ้งเตือนขั้นสูงบางอย่าง และระบบจัดการ notification API แบบเต็มรูปแบบ เพราะเหล่านี้กิน RAM
  • Android ปกติ รองรับทุกฟีเจอร์ที่ Android มีให้ ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งหน้าจอ ใช้งาน Picture-in-Picture ได้เต็มที่ และระบบแจ้งเตือนขั้นสูง
  1. การอัปเดตระบบและแพตช์ความปลอดภัย
  • Android Go แม้จะได้แพตช์ความปลอดภัยจาก Google เป็นประจำ แต่ขึ้นอยู่กับแบรนด์ผู้ผลิตว่าจะส่งต่อให้อัปเดตจริงหรือไม่ หลายครั้งอาจอัปเดตล่ากว่า Android ปกติ
  • Android ปกติ โดยเฉพาะรุ่นในโครงการ Android One หรือ Pixel จะได้รับอัปเดตระบบและแพตช์ความปลอดภัยจาก Google ก่อนใคร ถี่และต่อเนื่องกว่า
  1. ประสบการณ์ใช้งานจริง
  • Android Go เหมาะกับผู้ใช้ที่มีงบจำกัด เน้นความลื่นไหลพอประมาณในงานพื้นฐาน เช่น โทร แชต แชร์โซเชียล ดูคลิปเบื้องต้น ใช้แอปไม่เกิน 4–5 ตัวพร้อมกัน หากไปเล่นเกมกราฟิกหนัก หรือเปิดแอปสลับไหล่กันหนาๆ ก็อาจเจออาการกระตุก
  • Android ปกติ เหมาะกับคนที่ต้องการฟีเจอร์ครบ ใช้งานมัลติทาสก์หลายแอปพร้อมกัน เล่นเกมกราฟิก 3D หนัก ๆ ตัดต่อรูปหรือวิดีโอเบื้องต้น หรือใช้แอปสายโปรดักทีฟที่กินทรัพยากรมาก

ตารางเปรียบเทียบ Android Go กับ Android รุ่นปกติ

หัวข้อ Android Go Android รุ่นปกติ
จุดประสงค์การออกแบบ รันบนมือถือสเปกต่ำ (RAM ≤ 2 GB, Storage 8–16 GB) ให้ลื่นพอใช้ รันบนมือถือสเปกระดับกลางขึ้นไป (RAM ≥ 3 GB, Storage ≥ 32 GB) ให้ฟีเจอร์ครบครัน
กลุ่มเป้าหมาย ผู้ใช้งบจำกัด ต้องการใช้โทร/แชต/โซเชียล/ดูวิดีโอเบื้องต้น ผู้ใช้ที่ต้องการเล่นเกมกราฟิกหนัก, งานมัลติทาสก์, แอปโปรดักทีฟ
RAM และพื้นที่เก็บข้อมูลที่แนะนำ RAM 1–2 GB, Storage 8–16 GB RAM ≥ 3 GB, Storage ≥ 32 GB
ขนาดระบบ (OS Footprint) ขนาดเบา ติดตั้งใช้พื้นที่น้อยกว่า ≈ 250–300 MB ขนาดใหญ่กว่า ต้องใช้พื้นที่หลักหลาย GB สำหรับระบบและ Google Play Services
แอปที่ติดตั้งมาพร้อมเครื่อง แอป Go edition (Google Go, YouTube Go, Maps Go, Gmail Go) ขนาดติดตั้งหลักสิบ MB ใช้ RAM ต่ำ แอป Google ฉบับเต็ม (Google, YouTube, Maps, Gmail) มีฟีเจอร์ครบ แต่กินพื้นที่และ RAM มากกว่า
การจัดการเมนู Recent Apps จำกัดแสดงแอปพร้อมกันไม่เกิน 4 แอป เพื่อประหยัด RAM แสดงแอปได้ตาม RAM ที่มี ไม่จำกัดจำนวน เหมาะกับมัลติทาสก์
Play Store แนะนำเฉพาะแอปเวอร์ชันเบา (Go app) ที่เหมาะกับสเปกต่ำ แสดงทุกแอปตามปกติ ผู้ใช้ต้องพิจารณาเองว่าเครื่องรองรับหรือไม่
การประหยัดดาต้า เปิด Data Saver ใน Chrome Go อัตโนมัติ, YouTube Go เลือกดาวน์โหลดวิดีโอคุณภาพต่ำ มีโหมด Data Saver แต่ต้องเปิดเอง และแอปส่วนใหญ่รองรับคุณภาพสูงเป็นหลัก
ฟีเจอร์ที่ตัดออก ไม่มี split-screen, picture-in-picture, Notification API บางส่วน รองรับฟีเจอร์เต็มรูปแบบ เช่น split-screen, Picture-in-Picture, การแจ้งเตือนขั้นสูง
ฟีเจอร์สำคัญที่รองรับ ฟีเจอร์พื้นฐาน (โทร, แชต, เว็บเบราว์เซอร์, ดูวิดีโอความละเอียดต่ำ) ฟีเจอร์ครบทั้งมัลติทาสก์, งานกราฟิก, เกม, แอปโปรดักทีฟ, แผนที่เรียลไทม์
การอัปเดตระบบ ได้แพตช์ความปลอดภัยจาก Google แต่อัปเดตเวอร์ชันอาจช้ากว่า ขึ้นกับ OEM โดยเฉพาะ Pixel/Android One ได้อัปเดต OS และแพตช์ความปลอดภัยเร็วกว่าทั่วไป
ประสบการณ์ใช้งานหลัก ลื่นพอใช้สำหรับงานเบา, เปิดแอปเร็ว แต่จำกัดการสลับแอปพร้อมกัน ลื่นเต็มประสิทธิภาพบนฮาร์ดแวร์ที่แรงกว่า เล่นเกม/งานหนักได้ดี


Android Go เหมาะกับการเล่นเกมหรือไม่

​​Android Go ถูกออกแบบมาเพื่อรันบนสมาร์ตโฟนสเปกต่ำ แรมไม่เกิน 2 GB และพื้นที่เก็บข้อมูลน้อย เพื่อให้ระบบทำงานลื่นไหลที่สุด แม้ฮาร์ดแวร์ไม่แรง Android Go เหมาะกับการเล่นเกมในลักษณะ Casual 2D หรือเกมโซเชียลเบา ๆ ที่ออกแบบมาให้กินทรัพยากรต่ำ แต่ไม่ควรคาดหวังประสิทธิภาพเหมือนสมาร์ตโฟนระดับกลางบน หากงบประมาณจำกัดและต้องการเล่นเกมกราฟิกหนัก ควรพิจารณาอัปเกรดไปใช้ Android รุ่นมาตรฐานที่มีสเปกระดับกลางขึ้นไปแทน


บทส่งท้าย

Android Go คือทางเลือกที่ช่วยให้คุณเข้าถึงสมาร์ทโฟนราคาประหยัดได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ด้วยระบบปฏิบัติการที่ปรับแต่งให้ใช้ทรัพยากรต่ำ ดึงประสิทธิภาพจากสเปกเครื่องได้เต็มที่ ทั้งช่วยประหยัดพื้นที่จัดเก็บและดาต้าขณะใช้งาน ใครที่กำลังมองหามือถือราคาไม่เกินงบประมาณ แนะนำให้ลองพิจารณาเครื่อง Android Go edition เหล่านี้ เพื่อให้ได้สมาร์ทโฟนที่ตอบโจทย์ทั้งในด้านการใช้งานพื้นฐาน ความทนทาน และความคุ้มค่าที่สุด สุดท้าย หากสนใจเปรียบเทียบและหามือถือคุณภาพ ไม่เกิน 5000 บาท สามารถคลิกดูเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ไม่เกิน 5000 ยี่ห้อไหนดี

สิ้นสุดบทความ