ใครที่กำลังมองหาโทรศัพท์มือถือราคาประหยัด คงเคยได้ยินคำว่า Android Go บ้างไม่มากก็น้อย แต่หลายคนอาจยังไม่ทราบว่า Android Go นั้นคืออะไร และมีข้อดีอย่างไรกับมือถือราคาถูก ในบทความนี้จะพาไปรู้จักกับ Android Go ตั้งแต่ต้นกำเนิด แนวคิดการพัฒนา ฟีเจอร์หลัก จนถึงเหตุผลว่าทำไม Android Go จึงกลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับมือถือราคาประหยัด แถมช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกซื้อได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น

บรรณาธิการ
Table of Contents
Android Go คืออะไร
Android Go คือ เวอร์ชันเบาของระบบปฏิบัติการ Android ที่ถูกออกแบบมาเพื่อรันบนสมาร์ตโฟนสเปกต่ำ (RAM 2 GB หรือน้อยกว่า) โดยเปิดตัวครั้งแรกพร้อม Android 8.1 (Oreo Go edition) เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2017 เพื่อขยายตลาดไปยังผู้ใช้ในกลุ่ม emerging markets ซึ่งมีอุปกรณ์อินเทอร์เน็ตราคาไม่สูง Android Go จะลดขนาดระบบและจำกัดฟีเจอร์บางส่วนเพื่อให้ประสิทธิภาพลื่นไหลบนฮาร์ดแวร์จำกัด รวมถึงมีแอป Go edition ของ Google (เช่น Google Go, YouTube Go, Maps Go ฯลฯ) ที่กินหน่วยความจำน้อยกว่าเวอร์ชันปกติ

ข้อดีและข้อเสีย Android Go มีอะไรบ้าง
ข้อดีของ Android Go
- ใช้ทรัพยากรระบบน้อยกว่ารุ่นปกติ Android Go ปรับแต่งโค้ดให้ใช้ RAM และพื้นที่เก็บข้อมูลน้อยลง ทำให้มือถือที่มี RAM 512 MB–2 GB ทำงานได้ลื่นไหลขึ้นเมื่อเทียบกับ Android เวอร์ชันมาตรฐาน
- แอป Go edition มีขนาดเล็กและกินแรมต่ำ ชุดแอปเฉพาะของ Android Go (เช่น Google Go, YouTube Go, Maps Go, Gmail Go) ถูกออกแบบให้กินพื้นที่ติดตั้งหลักสิบเมกะไบต์และใช้ RAM น้อยกว่ารุ่นปกติ ช่วยให้เปิดใช้งานได้เร็วบนเครื่องสเปกต่ำ
- ประหยัดดาต้าอัตโนมัติ แอป Chrome Go ถูกตั้งค่าโหมด Data Saver ไว้ล่วงหน้า โดยบีบอัดข้อมูลก่อนโหลดหน้าเว็บ และ YouTube Go ให้เลือกดาวน์โหลดวิดีโอในคุณภาพต่ำเพื่อลดการใช้ดาต้า
- Play Store แนะนำเฉพาะแอปเบาสเปก บน Android Go Play Store จะไฮไลต์แอปที่เหมาะกับอุปกรณ์สเปกต่ำเท่านั้น จึงลดโอกาสดาวน์โหลดแอปหนักมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้เครื่องทำงานช้าหรือค้าง
- อินเทอร์เฟซเรียบง่าย โฟกัสโครงการพื้นฐาน UI ของ Android Go ตัดฟีเจอร์เสริมที่กินทรัพยากรเช่น split-screen, notification access ออก เพื่อให้การรันระบบเป็นไปอย่างราบรื่นและไม่ซับซ้อน
- อัปเดตความปลอดภัยจาก Google อย่างสม่ำเสมอ แม้เป็นเวอร์ชันเบา Android Go ก็ได้รับแพตช์ความปลอดภัยจาก Google ในลักษณะเดียวกับ Android รุ่นมาตรฐาน เพื่อป้องกันมัลแวร์และช่องโหว่ด้านความปลอดภัย
- เข้าถึงตลาด emerging markets ได้ดีกว่า การออกแบบให้กินทรัพยากรต่ำช่วยลดต้นทุนผลิตมือถือราคาถูก ทำให้ผู้ใช้ในกลุ่ม emerging markets สามารถเข้าถึงสมาร์ตโฟนได้ง่ายขึ้นตามยุทธศาสตร์ “Next Billion Users” ของ Google
- เหมาะสำหรับผู้ใช้มือใหม่หรือผู้ใช้งบจำกัด ผู้ใช้ที่ต้องการใช้งานโทร แชต โซเชียลมีเดีย และดูวิดีโอเบื้องต้นโดยไม่ต้องจ่ายแพง สามารถรับประสบการณ์ใช้งานสมูธบน Android Go ได้ แม้สเปกเครื่องจะไม่สูงนัก
ข้อเสียของ Android Go
- ฟีเจอร์หลักบางอย่างถูกตัดออก
ฟังก์ชันอย่าง split-screen, picture-in-picture และบาง API สำหรับ notification access ถูกปิดเพื่อประหยัด RAM แต่ก็ทำให้ผู้ใช้เสียโอกาสใช้งานฟีเจอร์ขั้นสูงเหล่านี้ - ไม่เหมาะกับการเล่นเกมกราฟิกหนักหรือแอปประสิทธิภาพสูง
แม้ระบบเบา แต่ฮาร์ดแวร์บนสมาร์ตโฟน Go edition มักใช้ชิปเซ็ตระดับล่างและ RAM ต่ำ การรันเกมที่ต้องการกราฟิกระดับสูงหรือการใช้แอปหลายตัวพร้อมกันยังเกิดอาการหน่วงหรือค้างได้ง่าย - คุณภาพกราฟิกและฟังก์ชันในแอป Go อยู่ในระดับพื้นฐาน
แอปอย่าง Maps Go ไม่มีระบบ GPS แบบเรียลไทม์และรายละเอียดกราฟิกน้อยกว่า Maps เวอร์ชันเต็ม ทำให้การนำทางหรือดูแผนที่บางครั้งคลาดเคลื่อน - ฮาร์ดแวร์สเปกต่ำอาจยังไม่เพียงพอ
บางรุ่น Android Go ถูกออกแบบมาสำหรับ RAM 512 MB–1 GB ซึ่งในบางกรณีก็ยังเกิดอาการหน่วงเมื่อเปิดแอปพร้อมกันหลายตัวหรือโหลดหน้าเว็บที่หนัก - บางแบรนด์อัปเดตระบบช้ากว่า Android ปกติ
แม้ Google ส่งแพตช์ความปลอดภัยเป็นระยะ แต่มือถือ Android Go บางแบรนด์อาจไม่มีนโยบายอัปเดตระบบหรือหยุดอัปเดตก่อนกำหนด ทำให้ผู้ใช้เสี่ยงต่อช่องโหว่ในระยะยาว - อินเทอร์เฟซถูกจำกัดฟังก์ชันจนดูน้อยลง
การจำกัดการแสดงแอปในเมนู recent apps ไม่เกิน 4 แอป แม้ช่วยประหยัด RAM แต่ผู้ใช้บางคนอาจรู้สึกว่าการสลับแอปสะดุดหรือไม่คล่องตัวเท่าที่ควร - ตัวเลือกแอปบางตัวอาจไม่รองรับ Go edition
แอปบางแอปใน Marketplace อาจไม่มีเวอร์ชัน Go หรือฟีเจอร์สำคัญถูกยกเลิก ทำให้ไม่สามารถใช้งานบางแอปได้เต็มประสิทธิภาพบนอุปกรณ์ Go edition - ความคมชัดของกล้องและประสบการณ์ถ่ายภาพจำกัด สมาร์ตโฟน Go edition มักติดตั้งกล้องประสิทธิภาพต่ำเมื่อเทียบกับมือถือระดับกลางถึงบน งานถ่ายภาพทั่วไปอาจยังด้อยคุณภาพ เมื่อเทียบกับอุปกรณ์ที่ใช้ Android ปกติ
ความแตกต่างระหว่าง Android Go กับ Android รุ่นปกติ
- จุดประสงค์การออกแบบและกลุ่มเป้าหมาย
- Android Go พัฒนามาเพื่อให้ “มือถือสเปกต่ำ” (RAM ไม่เกิน 2 GB, พื้นที่เก็บข้อมูล 8–16 GB) ใช้งานได้ลื่นที่สุดในงบประมาณจำกัด กลุ่มผู้ใช้หลักคือคนที่ต้องการสมาร์ตโฟนพื้นฐาน เอาไว้โทร แชต โซเชียล ดูคลิปเบื้องต้น แต่ไม่จำเป็นต้องรองรับงานหนักหรือแอปฟีเจอร์ครบครัน
- Android รุ่นปกติ โปรไฟล์คือใช้งานกับมือถือสเปกระดับกลางถึงบน (RAM 3 GB ขึ้นไป, พื้นที่เก็บข้อมูล 32 GB+ ขึ้นไป) เหมาะกับคนที่ต้องการฟีเจอร์ครบทั้งมัลติทาสก์ งานกราฟิก หรือใช้งานแอปโปรดักทีฟที่กินทรัพยากรสูง
- ขนาดระบบและการใช้ทรัพยากร
- Android Go ตัวไฟล์ระบบเล็ก ถูกปรับแต่งให้กิน RAM และพื้นที่จัดเก็บน้อยลง ทำให้ “มือถือสเปกเล็ก” เปิดเครื่องและสลับแอปได้เร็วขึ้น
- Android ปกติ มีโค้ดและบริการ Google Play Services ฉบับเต็ม ใช้ทรัพยากรมากกว่า จึงจำเป็นต้องมีฮาร์ดแวร์ที่แรงกว่าเพื่อให้ใช้งานได้ลื่น
- ชุดแอป “Go edition” เทียบกับแอปปกติ
- Android Go มาพร้อมกับแอป Google Go, YouTube Go, Maps Go, Gmail Go ฯลฯ ซึ่งกว่าแค่ฟีเจอร์พื้นฐาน มีขนาดติดตั้งแค่หลักสิบ MB ใช้ RAM ต่ำ เปิดปุ๊บตอบสนองทันที แต่ตัดฟังก์ชันเสริมออก เช่น YouTube Go เลือกความละเอียดวิดีโอก่อนดาวน์โหลด ไม่มีฟีเจอร์สตรีมคุณภาพสูง
- Android ปกติ แอปที่มากับเครื่องคือ Google, YouTube, Maps, Gmail ฉบับเต็ม มีฟีเจอร์ครบ ไม่ว่าจะเป็นแผนที่นำทางเรียลไทม์ ดาวน์โหลดวิดีโอคุณภาพสูง หรือระบบแจ้งเตือนละเอียด แต่กินทรัพยากรมากกว่า

- ประสิทธิภาพการจัดการแอปและเมมโมรี
- Android Go จำกัดการแสดงแอปใน Recent Apps ไม่เกิน 4 แอป เพื่อดึง RAM ที่เหลือไปช่วยแอปที่เปิดอยู่จริงเท่านั้น
- Android ปกติ เปิดกี่แอปก็ได้ตาม RAM เครื่องรองรับ เรียกสลับแอปหรือใช้งานมัลติทาสก์ได้ตามใจ ไม่ถูกจำกัดจำนวน
- Play Store และการติดตั้งแอป
- Android Go จะเห็นเฉพาะแอปที่ Google จับคู่ว่า “เหมาะกับสเปกต่ำ” ขึ้นมาแนะนำก่อน ช่วยป้องกันไม่ให้ผู้ใช้ไปดาวน์โหลดแอปกินทรัพยากรมากโดยไม่รู้ตัว
- Android ปกติ Play Store แสดงแอปทุกประเภทให้ดาวน์โหลดได้หมด ผู้ใช้ต้องพิจารณาเองว่าสเปกเครื่องรองรับหรือไม่
- การประหยัดเน็ตและข้อมูล
- Android Go แอปหลักอย่าง Chrome Go จะเปิด Data Saver อัตโนมัติ ช่วยบีบอัดหน้าเว็บก่อนโหลด และ YouTube Go ให้เลือกโหลดวิดีโอในระดับความละเอียดต่ำเพื่อลดปริมาณดาต้า เหมาะกับคนใช้งานเน็ตจำกัด
- Android ปกติ แม้จะมีโหมดประหยัดดาต้า (Data Saver) แต่ต้องเปิดเอง และแอป YouTube, Chrome บริหารดาต้าตามมาตรฐานที่รองรับการใช้งานคุณภาพสูงเป็นหลัก
- ฟีเจอร์ที่ถูกตัดออก
- Android Go ไม่มีฟีเจอร์ split-screen, picture-in-picture, การตั้งค่าแจ้งเตือนขั้นสูงบางอย่าง และระบบจัดการ notification API แบบเต็มรูปแบบ เพราะเหล่านี้กิน RAM
- Android ปกติ รองรับทุกฟีเจอร์ที่ Android มีให้ ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งหน้าจอ ใช้งาน Picture-in-Picture ได้เต็มที่ และระบบแจ้งเตือนขั้นสูง
- การอัปเดตระบบและแพตช์ความปลอดภัย
- Android Go แม้จะได้แพตช์ความปลอดภัยจาก Google เป็นประจำ แต่ขึ้นอยู่กับแบรนด์ผู้ผลิตว่าจะส่งต่อให้อัปเดตจริงหรือไม่ หลายครั้งอาจอัปเดตล่ากว่า Android ปกติ
- Android ปกติ โดยเฉพาะรุ่นในโครงการ Android One หรือ Pixel จะได้รับอัปเดตระบบและแพตช์ความปลอดภัยจาก Google ก่อนใคร ถี่และต่อเนื่องกว่า
- ประสบการณ์ใช้งานจริง
- Android Go เหมาะกับผู้ใช้ที่มีงบจำกัด เน้นความลื่นไหลพอประมาณในงานพื้นฐาน เช่น โทร แชต แชร์โซเชียล ดูคลิปเบื้องต้น ใช้แอปไม่เกิน 4–5 ตัวพร้อมกัน หากไปเล่นเกมกราฟิกหนัก หรือเปิดแอปสลับไหล่กันหนาๆ ก็อาจเจออาการกระตุก
- Android ปกติ เหมาะกับคนที่ต้องการฟีเจอร์ครบ ใช้งานมัลติทาสก์หลายแอปพร้อมกัน เล่นเกมกราฟิก 3D หนัก ๆ ตัดต่อรูปหรือวิดีโอเบื้องต้น หรือใช้แอปสายโปรดักทีฟที่กินทรัพยากรมาก
ตารางเปรียบเทียบ Android Go กับ Android รุ่นปกติ
หัวข้อ | Android Go | Android รุ่นปกติ |
จุดประสงค์การออกแบบ | รันบนมือถือสเปกต่ำ (RAM ≤ 2 GB, Storage 8–16 GB) ให้ลื่นพอใช้ | รันบนมือถือสเปกระดับกลางขึ้นไป (RAM ≥ 3 GB, Storage ≥ 32 GB) ให้ฟีเจอร์ครบครัน |
กลุ่มเป้าหมาย | ผู้ใช้งบจำกัด ต้องการใช้โทร/แชต/โซเชียล/ดูวิดีโอเบื้องต้น | ผู้ใช้ที่ต้องการเล่นเกมกราฟิกหนัก, งานมัลติทาสก์, แอปโปรดักทีฟ |
RAM และพื้นที่เก็บข้อมูลที่แนะนำ | RAM 1–2 GB, Storage 8–16 GB | RAM ≥ 3 GB, Storage ≥ 32 GB |
ขนาดระบบ (OS Footprint) | ขนาดเบา ติดตั้งใช้พื้นที่น้อยกว่า ≈ 250–300 MB | ขนาดใหญ่กว่า ต้องใช้พื้นที่หลักหลาย GB สำหรับระบบและ Google Play Services |
แอปที่ติดตั้งมาพร้อมเครื่อง | แอป Go edition (Google Go, YouTube Go, Maps Go, Gmail Go) ขนาดติดตั้งหลักสิบ MB ใช้ RAM ต่ำ | แอป Google ฉบับเต็ม (Google, YouTube, Maps, Gmail) มีฟีเจอร์ครบ แต่กินพื้นที่และ RAM มากกว่า |
การจัดการเมนู Recent Apps | จำกัดแสดงแอปพร้อมกันไม่เกิน 4 แอป เพื่อประหยัด RAM | แสดงแอปได้ตาม RAM ที่มี ไม่จำกัดจำนวน เหมาะกับมัลติทาสก์ |
Play Store | แนะนำเฉพาะแอปเวอร์ชันเบา (Go app) ที่เหมาะกับสเปกต่ำ | แสดงทุกแอปตามปกติ ผู้ใช้ต้องพิจารณาเองว่าเครื่องรองรับหรือไม่ |
การประหยัดดาต้า | เปิด Data Saver ใน Chrome Go อัตโนมัติ, YouTube Go เลือกดาวน์โหลดวิดีโอคุณภาพต่ำ | มีโหมด Data Saver แต่ต้องเปิดเอง และแอปส่วนใหญ่รองรับคุณภาพสูงเป็นหลัก |
ฟีเจอร์ที่ตัดออก | ไม่มี split-screen, picture-in-picture, Notification API บางส่วน | รองรับฟีเจอร์เต็มรูปแบบ เช่น split-screen, Picture-in-Picture, การแจ้งเตือนขั้นสูง |
ฟีเจอร์สำคัญที่รองรับ | ฟีเจอร์พื้นฐาน (โทร, แชต, เว็บเบราว์เซอร์, ดูวิดีโอความละเอียดต่ำ) | ฟีเจอร์ครบทั้งมัลติทาสก์, งานกราฟิก, เกม, แอปโปรดักทีฟ, แผนที่เรียลไทม์ |
การอัปเดตระบบ | ได้แพตช์ความปลอดภัยจาก Google แต่อัปเดตเวอร์ชันอาจช้ากว่า ขึ้นกับ OEM | โดยเฉพาะ Pixel/Android One ได้อัปเดต OS และแพตช์ความปลอดภัยเร็วกว่าทั่วไป |
ประสบการณ์ใช้งานหลัก | ลื่นพอใช้สำหรับงานเบา, เปิดแอปเร็ว แต่จำกัดการสลับแอปพร้อมกัน | ลื่นเต็มประสิทธิภาพบนฮาร์ดแวร์ที่แรงกว่า เล่นเกม/งานหนักได้ดี |
Android Go เหมาะกับการเล่นเกมหรือไม่
Android Go ถูกออกแบบมาเพื่อรันบนสมาร์ตโฟนสเปกต่ำ แรมไม่เกิน 2 GB และพื้นที่เก็บข้อมูลน้อย เพื่อให้ระบบทำงานลื่นไหลที่สุด แม้ฮาร์ดแวร์ไม่แรง Android Go เหมาะกับการเล่นเกมในลักษณะ Casual 2D หรือเกมโซเชียลเบา ๆ ที่ออกแบบมาให้กินทรัพยากรต่ำ แต่ไม่ควรคาดหวังประสิทธิภาพเหมือนสมาร์ตโฟนระดับกลางบน หากงบประมาณจำกัดและต้องการเล่นเกมกราฟิกหนัก ควรพิจารณาอัปเกรดไปใช้ Android รุ่นมาตรฐานที่มีสเปกระดับกลางขึ้นไปแทน
บทส่งท้าย
Android Go คือทางเลือกที่ช่วยให้คุณเข้าถึงสมาร์ทโฟนราคาประหยัดได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ด้วยระบบปฏิบัติการที่ปรับแต่งให้ใช้ทรัพยากรต่ำ ดึงประสิทธิภาพจากสเปกเครื่องได้เต็มที่ ทั้งช่วยประหยัดพื้นที่จัดเก็บและดาต้าขณะใช้งาน ใครที่กำลังมองหามือถือราคาไม่เกินงบประมาณ แนะนำให้ลองพิจารณาเครื่อง Android Go edition เหล่านี้ เพื่อให้ได้สมาร์ทโฟนที่ตอบโจทย์ทั้งในด้านการใช้งานพื้นฐาน ความทนทาน และความคุ้มค่าที่สุด สุดท้าย หากสนใจเปรียบเทียบและหามือถือคุณภาพ ไม่เกิน 5000 บาท สามารถคลิกดูเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ไม่เกิน 5000 ยี่ห้อไหนดี