Welcome Citizen!

บันทึกตอนนี้เลย แล้วซื้อทีหลัง เราจะแจ้งคุณถ้าราคาลด

Welcome Citizen!

Setup your account or continue reading!

Settings
iPad กับ Macbook อันไหนดีกว่า ซื้ออะไรดี เลือกให้ตรงกับไลฟ์สไตล์ และงบประมาณ

iPad กับ Macbook อันไหนดีกว่า ซื้ออะไรดี เลือกให้ตรงกับไลฟ์สไตล์ และงบประมาณ

กำลังลังเลว่าจะเลือกซื้อ iPad หรือ MacBook วันนี้เรามาช่วยวิเคราะห์จุดเด่น-จุดด้อยของแต่ละอุปกรณ์ เพื่อให้คุณตัดสินใจได้ตรงกับการใช้งานและงบประมาณที่สุด

ปัจจุบันตลาดอุปกรณ์ไอทีมีตัวเลือกมากมาย โดยเฉพาะ iPad และ MacBook ซึ่งทั้งคู่ผลิตโดย Apple เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการประสิทธิภาพและดีไซน์ที่สวยงาม แต่ละรุ่นก็มีจุดเด่น-จุดด้อยแตกต่างกันออกไป บทความนี้จะช่วยเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดเจนว่าอุปกรณ์ไหนเหมาะกับใคร ใครควรเลือกซื้ออะไร เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ


บรรณาธิการ

Puifaii chevron_right

...

ความแตกต่างระหว่าง iPad กับ MacBook

เมื่อจะเลือกซื้ออุปกรณ์ของ Apple สองค่ายหลักที่มักถูกเปรียบเทียบกันอยู่เสมอคือ iPad กับ MacBook ถึงแม้ว่าทั้งสองจะอยู่ภายใต้แบรนด์เดียวกัน แต่ในทางสเปก การใช้งาน และแนวทางการออกแบบ กลับมีจุดต่างชัดเจนหลายด้าน เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น เราจะลงลึกในรายละเอียดในหลายมิติ ตั้งแต่ฮาร์ดแวร์ ระบบปฏิบัติการ ไปจนถึงการรองรับในอนาคต

1. รูปลักษณ์และการออกแบบ

iPad ออกแบบมาให้บางและเบาอย่างยิ่ง โดยมีน้ำหนักเพียงไม่กี่ร้อยกรัม ขึ้นกับรุ่นและขนาดจอ ตั้งแต่รุ่น iPad Mini ซึ่งบางและกะทัดรัด เหมาะแก่การถือมือเดียว ไปจนถึง iPad Pro หน้าจอใหญ่ที่แม้จะหนักขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังคงความบางเฉียบ และสามารถพกใส่กระเป๋าหิ้วได้สะดวก สำหรับวัสดุก็เป็นอะลูมิเนียมขัดเรียบ คลีนเรียบ ไม่มีบานพับหรือดึงดูดสายตามากเหมือนโน้ตบุ๊ก

ด้าน MacBook แม้จะยังคงใช้วัสดุอะลูมิเนียม Unibody เช่นกัน แต่มีบานพับสำหรับเปิด–ปิดหน้าจอ น้ำหนักจึงอยู่ที่หลักกิโลกรัมขึ้นไป ตัวเครื่องจึงหนากว่าและมีขนาดใหญ่กว่ามาก เพื่อรองรับคีย์บอร์ดและแทร็คแพดในตัว ทำให้เมื่อนั่งทำงานบนโต๊ะจะได้ความรู้สึกเชื่อมต่อกับอุปกรณ์มากกว่า แต่ในขณะเดียวกันก็แลกกับน้ำหนักและความอุ้ยอ้ายกว่า iPad

พอร์ตเชื่อมต่อบน iPad รุ่นใหม่ เช่น iPad Pro หรือ iPad Air บางรุ่น จะเป็น USB-C หรือ Thunderbolt เพียงพอร์ตเดียว ซึ่งแม้จะรองรับการชาร์จและต่ออุปกรณ์เสริมได้ แต่จะไม่สะดวกเท่า MacBook ที่มักมาพร้อมพอร์ต Thunderbolt/USB-C อย่างน้อยสองพอร์ต บางรุ่นยังเพิ่ม MagSafe หรือช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ทำให้การต่อจอภายนอก ฮาร์ดดิสก์ หรือเมาส์สะดวกกว่า

2. ระบบปฏิบัติการและประสบการณ์ใช้งาน

iPad ใช้ระบบ iPadOS ซึ่งเน้นการสัมผัสหน้าจอเป็นหลัก พัฒนาขึ้นจาก iOS เพื่อสนับสนุนฟีเจอร์ด้าน Multitasking เช่น Split View และ Slide Over ให้สามารถเปิดแอปสองแอปพร้อมกันได้บ้าง แต่ก็ยังมีข้อจำกัดเมื่อเทียบกับ macOS เพราะแอปต่างๆ บน iPad ไม่ได้อิสระต่อกันเหมือนในเดสก์ท็อป การลากไฟล์จากแอปหนึ่งไปอีกแอปหนึ่งยังไม่สะดวกเท่าบน MacBook และบางแอปที่เป็นเวอร์ชัน iPadOS ก็ยังถูกลดทอนฟีเจอร์บางอย่างออกไปเพื่อให้เหมาะกับเครื่องแท็บเล็ต เช่น แอปตัดต่อวีดีโอระดับมืออาชีพที่มีอยู่บน macOS มักจะไม่มีให้ใช้บน iPad

ในทางกลับกัน MacBook ทำงานด้วย macOS ซึ่งออกแบบมาให้รองรับการใช้งานแบบเดสก์ท็อปเต็มรูปแบบ มีระบบจัดการไฟล์ Finder, Dock และ Menu Bar ช่วยให้เปิดไฟล์ หลายหน้าต่างสลับกันได้อย่างอิสระ การลากวางไฟล์ข้ามแอป หรือการใช้แอปเสริมภายนอกนอก Mac App Store ทำได้โดยตรง macOS รองรับการติดตั้งซอฟต์แวร์ในรูปแบบไฟล์ .dmg หรือ .pkg จึงทำให้โปรแกรมระดับโปรทั้งหลาย เช่น Final Cut Pro, Adobe Creative Suite, Xcode สามารถรันได้เต็มความสามารถ ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญว่าทำไมคนที่ต้องทำงานหลายโปรแกรมพร้อมกัน หรือต้องใช้ซอฟต์แวร์เฉพาะทาง จึงมักเลือก MacBook

เรื่องอินพุตบน iPad จะเน้นไปที่หน้าจอสัมผัสซึ่งรองรับ Multi-Touch Gesture สามารถพิมพ์โดยเชื่อมต่อ Smart Keyboard หรือ Magic Keyboard (ขึ้นกับรุ่น) ก็ได้ แต่ก็จะไม่ตอบโจทย์การพิมพ์หนักๆ ต่อเนื่องเหมือน MacBook ที่มาพร้อมคีย์บอร์ด Magic Keyboard แทร็คแพด Force Touch ขนาดใหญ่ ตอบสนองลื่นและแม่นยำกว่า ทั้งนี้ MacBook ไม่มีหน้าจอสัมผัสโดยตรง หากต้องการเลื่อนหรือแตะต้องหน้าจอ ก็จำเป็นต้องใช้เมาส์หรือแทร็คแพดอยู่ดี

3. ชิปเซ็ตและประสิทธิภาพ

ในขณะที่ iPad รุ่นโปรตั้งแต่ปี 2021 เป็นต้นมา (iPad Pro) เริ่มใช้ชิป M1, M2 หรือ M3 เหมือน MacBook หลายรุ่น ทำให้มีพลังประมวลผลใกล้เคียงกันอย่างเหลือเชื่อ แต่ข้อจำกัดเรื่อง RAM ที่ระบบจัดสรรภายในแอป รวมทั้งการระบายความร้อนที่ไม่มีพัดลมภายใน ส่งผลให้เมื่อใช้งานหนักต่อเนื่อง อาจเห็นการลดความเร็วเพื่อรักษาอุณหภูมิ ในขณะที่ MacBook Pro มีพัดลมที่ช่วยระบายความร้อน ทำให้สามารถรันงานหนักๆ เช่น การคอมไพล์โค้ด ตัดต่อวีดีโอ หรือเรนเดอร์ภาพนานๆ ได้ต่อเนื่องโดยไม่สูญเสียประสิทธิภาพ

ส่วน iPad รุ่นมาตรฐาน (เช่น iPad 9th/10th Gen) ใช้ชิป A-series ซึ่งแม้จะทรงพลังในงานทั่วไป เช่น การเรียนออนไลน์ ดูหนัง เล่นเกมระดับกลาง หรือแต่งรูปพื้นฐาน แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับชิป M-series ในแง่พลังประมวลผลโดยรวมได้เลย ซึ่งจะเห็นความแตกต่างหากลองใช้โปรแกรมที่ต้องอาศัยซีพียูและจีพียูหนักๆ เช่น แอปกราฟิกโหดๆ หรือเกม 3D หนักๆ

สำหรับ MacBook Air กับ MacBook Pro ทั้งสองรุ่นที่ใช้ Apple Silicon (M1, M2, M3) ให้หน่วยความจำ (RAM) สูงสุดถึง 24GB ในรุ่น M2 หรือมากกว่าในรุ่น Pro/Max แต่ iPad แม้จะมีบางรุ่นที่ให้ RAM สูงถึง 16GB แต่การจัดการแรมจะอยู่ในวงจำกัดของ iPadOS ทำให้ไม่อิสระเท่า MacBook ที่รันหลายแอปพร้อมกันหลายหน้าต่างได้จริง

4. การใช้งานแอปพลิเคชันและความเข้ากันได้

iPadOS มี App Store ที่คัดเลือกแอปมาสำหรับหน้าจอสัมผัสและรองรับ Apple Pencil ซึ่งเหมาะกับสายจดโน้ต วาดภาพดิจิทัล หรือแม้แต่แอปงานเอกสารเบื้องต้นที่ถูกปรับหน้าตาให้ใช้งานสะดวกบนแท็บเล็ต แต่หากเป็นแอปตัดต่อวีดีโอระดับมืออาชีพ เช่น Final Cut Pro เวอร์ชันเต็มฟีเจอร์ ต้องเลือก MacBook

MacBook ทำให้ติดตั้งซอฟต์แวร์จาก Mac App Store หรือจากไฟล์ .dmg/.pkg ได้โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรม Adobe Premiere Pro, Photoshop, Blender หรือ IDE ชั้นนำอย่าง Visual Studio Code, Xcode, JetBrains IDE ไปจนถึงการติดตั้ง Docker หรือสร้าง VM ด้วย Parallels/VMware ได้อย่างเต็มรูปแบบ ฉะนั้นหากเป็นนักพัฒนาโปรแกรมเมอร์หรือต้องใช้ซอฟต์แวร์เฉพาะทางจริงจัง MacBook ย่อมตอบโจทย์ได้ครบกว่า iPad

ในแง่ของระบบนิเวศ Apple ทั้งสองอุปกรณ์สามารถโอนไฟล์ผ่าน AirDrop ใช้ Handoff ได้ ส่วนคุณสมบัติ Continuity Sketch บน macOS ช่วยให้วาดรูปบน iPad แล้วแปะภาพนั้นลงในเอกสารบน MacBook ได้ แต่ภาพรวมของ macOS จะให้ฟีเจอร์จัดการไฟล์และแอปต่างกันได้อิสระกว่า จึงเหมาะกับการทำหลายงานพร้อมกันแบบจริงจัง

5. การใช้งานทั่วไปและกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสม

หากเป็นนักเรียนหรือนักศึกษาที่เน้นจดโน้ต วาดสเก็ตช์ หรืออ่านหนังสือออนไลน์ iPad จะเป็นตัวเลือกแรกเพราะน้ำหนักเบา พกพาสะดวก และมี Apple Pencil ช่วยให้การจดบันทึกเป็นธรรมชาติเหมือนเขียนลงสมุดจริง นอกจากนั้น หากต้องการใช้ทำงานเอกสารเบื้องต้น เช่น พิมพ์รายงานหรือจัดทำสเปรดชีตเล็กๆ ก็สามารถเชื่อมต่อ Smart Keyboard หรือ Magic Keyboard ได้ แต่ถ้าการจัดการไฟล์หลายแท็บ หลายแอปพร้อมกันเป็นเรื่องสำคัญ อาจรู้สึกติดขัดเพราะความสามารถในการสลับหน้าต่างและลากไฟล์ข้ามแอปยังสู้ MacBook ไม่ได้

สำหรับกลุ่มครีเอเตอร์หรือดีไซเนอร์ที่ชอบวาด เรียกใช้แอปประเภท Procreate, Affinity Designer บน iPad Pro ร่วมกับ Apple Pencil ก็เหมาะสมมาก ในทางกลับกัน หากต้องตัดต่อวีดีโอ 4K/8K ใช้ Logic Pro ตัดเสียง หรือพัฒนาแอปด้วย Xcode MacBook จะเป็นเครื่องมือหลักที่จะให้ประสิทธิภาพได้เต็มที่

นักพัฒนาโปรแกรมเมอร์ซึ่งจำเป็นต้องรันเซิร์ฟเวอร์ท้องถิ่น ติดตั้งซอฟต์แวร์หลายตัว ขณะที่เครื่องมือหรือ IDE ต่างๆ ยังไม่สามารถใช้งานได้เต็มรูปแบบบน iPad จึงควรเลือก MacBook เป็นหลัก

สำหรับคนทำงานออฟฟิศทั่วไป ที่เน้นงานเอกสาร พรีเซนเทชัน และงานซอฟต์สเปรดชีต งานบน MacBook Air ก็เพียงพอ และบางคนอาจลองใช้ iPad Air ร่วมกับ Magic Keyboard ก็สามารถทำงานได้ แต่เมื่อถึงจุดที่ต้องสลับไฟล์หลายแอปพร้อมกัน MacBook ย่อมให้ประสบการณ์ที่ราบรื่นกว่า

หากเน้นความบันเทิง เช่น ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกมเบาๆ iPad ก็รองรับได้ดี ทั้งยังสามารถต่อคอนโทรลเลอร์เพื่อเล่นเกมได้สนุกเหมือนเครื่องเกมคอนโซล แต่หากอยากใช้คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะสำหรับบันเทิงที่บ้าน MacBook แม้จะใหญ่กว่า แต่เมื่อเชื่อมต่อกับจอภายนอก ลำโพง และคีย์บอร์ด จะกลายเป็นคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะแบบพกพาที่แข็งแรงกว่า iPad

6. แบตเตอรี่และการใช้งานระยะยาว

ทั้ง iPad และ MacBook ต่างเคลมว่าใช้งานทั่วไปได้ราว 10–12 ชั่วโมง แต่เมื่อเจาะลึกแล้ว iPad จะใช้พลังงานน้อยกว่า เมื่อใช้งานทั่วไป เช่น ท่องเว็บ ดูหนัง ฟังเพลง ถ้าเป็นแอปกราฟิกหนักๆ หรือต้องประมวลผลงานกราฟิกต่อเนื่อง แบตอาจลดลงเหลือประมาณ 8–9 ชั่วโมงได้

ด้าน MacBook Air รุ่นชิป M2 สามารถใช้งานท่องเว็บได้ประมาณ 15–18 ชั่วโมง ส่วน MacBook Pro รุ่นล่าสุดสามารถอยู่ได้นานถึง 17–22 ชั่วโมง ขึ้นกับลักษณะงาน หากเป็นการตัดต่อวีดีโอหนักๆ ก็จะลดลงมา แต่ก็ยังทนกว่าโน้ตบุ๊กทั่วไปในตลาด เนื่องจากชิป Apple Silicon โดดเด่นในเรื่องการจัดการพลังงาน

เมื่อเวลาผ่านไป แบตเตอรี่ของทั้งสองจะเสื่อมสภาพ เช่น iPad หลังผ่านไประยะหนึ่งอาจเหลือความจุประมาณ 80–85% ของเดิม ส่วน MacBook หลัง 1000 รอบชาร์จก็จะยังเก็บพลังงานได้ราว 80% ทำให้ทั้งคู่ยังใช้งานได้ยาวนาน หากดูแลดีและใช้งานให้ครบวงจร

7. อุปกรณ์เสริมในการใช้งาน

อุปกรณ์เสริมสำหรับ iPad อย่าง Apple Pencil ยกระดับการจดโน้ตและวาดภาพได้เทียบเท่าแท็บเล็ตระดับโปร หรือหากต้องการใช้งานเหมือนโน้ตบุ๊ก ก็สามารถเพิ่ม Smart Keyboard หรือ Magic Keyboard ได้ แต่ทั้งสองอย่างนี้ก็เพิ่มต้นทุนและน้ำหนักให้กับ iPad อยู่พอสมควร นอกจากนั้นหากอยากเชื่อมต่อพอร์ตต่างๆ ก็ต้องพึ่ง USB-C Hub ภายนอก ที่แม้จะช่วยให้ต่อ USB-A, HDMI, Ethernet ได้แต่ก็ยังมีข้อจำกัดเรื่องความเร็วในการโอนถ่ายไฟล์

ในฝั่ง MacBook อุปกรณ์เสริมอย่าง Docking Station หรือ Thunderbolt Dock จะทำให้มีพอร์ต USB-A, HDMI, Ethernet, SD Card Reader แบบครบครัน โดยไม่ต้องถอดเปลี่ยนบ่อยครั้ง นอกจากนั้นหากต้องการจอภาพภายนอกก็ทำได้รวดเร็วและรองรับความละเอียดสูง ตั้งแต่ 4K ไปจนถึง 6K หรือต่อสาย LAN โดยตรง เหมาะกับงานมัลติทาสก์หรือการตัดต่อวีดีโอที่ต้องการสเปกสูง นอกจากนี้ Magic Mouse, Magic Trackpad หรือคีย์บอร์ด Bluetooth ก็ช่วยให้ทำงานนอกสถานที่ได้สะดวก

8. การอัปเกรดและซ่อมบำรุง

ทั้ง iPad และ MacBook ในยุค Apple Silicon ไม่ได้ออกแบบให้ผู้ใช้สามารถอัปเกรดฮาร์ดแวร์ได้เอง (เช่น RAM หรือ Storage) ทุกอย่างจะฝังกับเมนบอร์ดตั้งแต่แรก หากต้องการความจุหรือแรมสูง ต้องเลือกขนาดที่เหมาะสมเมื่อตอนซื้อ แต่ในกรณีที่ต้องการเปลี่ยนแบตเตอรี่หรือจอภาพ หากเกิดความเสียหาย ควรส่งให้ศูนย์ Apple หรือศูนย์ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น เพราะขั้นตอนซ่อมแซมซับซ้อนและค่าใช้จ่ายอาจสูง ทั้งนี้ MacBook บางรุ่น Intel ยุคก่อนอาจยังเปลี่ยน SSD เองได้ แต่ Apple Silicon จะถูกล็อกเกือบทุกอย่าง ทำให้การซ่อมบำรุงต้องผ่านศูนย์ซ่อมเท่านั้น

ทางด้านความทนทาน ในการใช้งานประจำวัน MacBook มักได้รับการดูแลซอฟต์แวร์และอัปเดตยาวนานประมาณ 6–8 ปี ส่วน iPad จะได้รับการอัปเดต iPadOS ราว 5–6 ปี แต่เมื่อหมดช่วงซัพพอร์ตแล้ว ทั้งสองก็ยังใช้งานได้ตามปกติ เพียงแต่จะไม่ได้ฟีเจอร์ใหม่ๆ และการปรับปรุงด้านความปลอดภัย

9. แนวโน้มในอนาคต

ในอนาคตคาดว่า Apple จะยังคงพัฒนาชิป M-series ให้แรงขึ้นเรื่อยๆ เช่น M4, M5 เป็นต้น ทำให้ MacBook ยังคงเป็นเครื่องมือเดสก์ท็อปหรือแล็ปท็อปที่รองรับงานหนักได้มากขึ้น ส่วน iPad Pro ก็จะได้ชิป M-series รุ่นใหม่ตามมาทีหลัง แต่ข้อจำกัดเรื่องระบบปฏิบัติการที่ยังไม่สามารถรันโปรแกรมเดสก์ท็อปได้ 100% อาจไม่เปลี่ยนแปลงในทันที หาก Apple ลงมือพัฒนา iPadOS ให้ใกล้เคียง macOS มากขึ้น ก็นับว่าเปิดโอกาสให้ iPad ใช้งานในเชิงโปรฯ ได้กว้างขึ้น แต่ก็ต้องจับตาดูว่าแอประดับโปรจะมาเต็มบน iPad ได้เมื่อไหร่


ตารางเปรียบเทียบ iPad กับ Macbook

หัวข้อ iPad MacBook
รูปลักษณ์และน้ำหนัก ตัวเครื่องบางมาก น้ำหนักระหว่าง 300–700 กรัม ขึ้นกับขนาดจอ เหมาะสำหรับถือมือเดียวหรือใส่กระเป๋าเล็ก ตัวเครื่องหนาและหนักกว่า โดยน้ำหนักเริ่มต้นประมาณ 1.2 กิโลกรัมขึ้นไป มีบานพับและคีย์บอร์ดในตัว เหมาะวางบนโต๊ะ
ระบบปฏิบัติการ ใช้ iPadOS ออกแบบเพื่อการสัมผัสหน้าจอและรองรับ Apple Pencil ในการจดหรือวาดภาพ ส่วนการ Multitasking รองรับ Split View แต่ยังไม่อิสระเท่า ใช้ macOS เต็มรูปแบบ จัดการไฟล์และเปิดโปรแกรมหลายหน้าต่างได้อิสระ รองรับแอปเดสก์ท็อปเต็มประสิทธิภาพ
ชิปเซ็ต รุ่น Pro ใช้ชิป M1/M2/M3 ให้ประสิทธิภาพใกล้เคียง MacBook ส่วนรุ่นมาตรฐานและ Air ใช้ชิป A-series เหมาะกับงานทั่วไป ใช้ชิป Apple Silicon (M1, M2, M3, M3 Pro/Max) รองรับ RAM สูงสุด 24–64 GB ประมวลผลหนัก ตัดต่อวีดีโอ หรือเขียนโค้ดได้ลื่นไหล
อินพุตและการควบคุม มีจอสัมผัส Multi-Touch รองรับ Apple Pencil สำหรับจดและวาดภาพ สามารถต่อ Smart Keyboard หรือ Magic Keyboard ได้ มาพร้อมคีย์บอร์ด Magic Keyboard กับแทร็คแพด Force Touch ขนาดใหญ่ แต่ไม่มีจอสัมผัส จำเป็นต้องใช้เมาส์หรือแทร็คแพดควบคุม
พอร์ตเชื่อมต่อ รุ่นใหม่มีพอร์ต USB-C หรือ Thunderbolt เพียงพอร์ตเดียว ต้องใช้ USB-C Hub เพื่อเชื่อมต่ออุปกรณ์เสริมเพิ่มเติม มาพร้อมอย่างน้อยสองพอร์ต Thunderbolt/USB-C บางรุ่นมี MagSafe และช่องหูฟัง 3.5 มม. ทำให้เชื่อมต่ออุปกรณ์ภายนอกได้สะดวกกว่า
แบตเตอรี่และการใช้งาน ใช้งานทั่วไปได้ประมาณ 10–12 ชั่วโมง แต่หากรันแอปกราฟิกหนักๆ จะอยู่ได้ประมาณ 8–9 ชั่วโมง MacBook Air (M2) ใช้งานท่องเว็บได้ 15–18 ชั่วโมง ส่วน MacBook Pro (M3 Pro/Max) ใช้งานได้ 17–22 ชั่วโมง ขึ้นกับลักษณะงาน
การอัปเดตซอฟต์แวร์ ได้รับอัปเดต iPadOS โดยทั่วไปประมาณ 5–6 ปี ฟีเจอร์ Multitasking และ Apple Pencil พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ได้รับอัปเดต macOS นานประมาณ 6–8 ปี รองรับฟีเจอร์ใหม่ๆ และการอัปเดตด้านความปลอดภัยนานกว่า
กลุ่มผู้ใช้เหมาะสม เหมาะกับนักเรียน นักศึกษา หรือคนทำงานเบาๆ ที่เน้นจดโน้ต วาดภาพ เรียนออนไลน์ และต้องการพกพาสะดวก เหมาะกับผู้ใช้มืออาชีพ เช่น ตัดต่อวีดีโอระดับสูง ดีไซเนอร์ โปรแกรมเมอร์ หรือคนทำงานออฟฟิศที่ต้องเปิดโปรแกรมหลายตัวพร้อมกัน
ราคาเริ่มต้น ราคาตั้งแต่ 10,000–15,000 บาท สำหรับรุ่นมาตรฐาน, 20,000–28,000 บาท สำหรับ Air, 30,000–55,000+ บาท สำหรับ Pro MacBook Air (M2) เริ่มต้น 37,000–45,000 บาท, MacBook Pro 13″ (M2) ประมาณ 45,000–55,000 บาท, MacBook Pro 14–16″ (M3 Pro/Max) 60,000–100,000+ บาท

สรุป เลือก iPad หรือ MacBook อันไหนดี?

หลายคนอาจสงสัยว่า iPad และ MacBook เหมือนกันหรือแตกต่างกันอย่างไร คำตอบคือ iPad ถูกออกแบบมาให้ใช้งานด้วยหน้าจอสัมผัส รองรับ Apple Pencil และตอบโจทย์งานจดโน้ต วาดรูป หรือเรียนออนไลน์ได้อย่างลื่นไหล ขณะที่ MacBook คือโน้ตบุ๊กที่ใช้งาน macOS เต็มรูปแบบ มีคีย์บอร์ด-แทร็คแพดในตัว สามารถรันซอฟต์แวร์เดสก์ท็อปเต็มประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการพิมพ์งาน เปิดหลายหน้าต่างพร้อมกัน หรือใช้โปรแกรมระดับโปร เช่น Final Cut Pro, Xcode เป็นต้น ถ้าต้องการอุปกรณ์พกพาที่เปิดปุ๊บใช้งานปั๊บ ด้วยวิธีการสัมผัสหน้าจอและจดเขียนง่ายๆ iPad จะตอบโจทย์มากกว่า แต่หากต้องการเครื่องที่รองรับงานหนัก เปิดแอปหลายตัวพร้อมกัน ตัดต่อวีดีโอ หรือเขียนโค้ด MacBook คือตัวเลือกที่เหมาะสมกว่า


บทส่งท้าย

สุดท้ายแล้วการเลือกซื้อ iPad หรือ MacBook ขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์และลักษณะการใช้งาน หากคุณเน้นการจดบันทึก วาดรูป เรียนออนไลน์ ดูหนัง เล่นเกมเบาๆ ต้องการอุปกรณ์ที่พกพาสะดวก และงบจำกัด iPad คือคำตอบที่คุ้มค่า แต่หากคุณต้องทำงานหนัก เปิดหลายโปรแกรมพร้อมกัน ตัดต่อวีดีโอ หรือเขียนโค้ด MacBook จะตอบโจทย์ประสิทธิภาพได้ดีกว่าทหากสนใจศึกษารุ่น iPad เพิ่มเติมก่อนตัดสินใจ สามารถดูข้อมูลเชิงลึกได้ที่ iPad รุ่นไหนดี

สิ้นสุดบทความ