ใคร ๆ ก็ชอบเล่นอินเตอร์เน็ตเร็ว ๆ ทั้งนั้น ซึ่งตัวรับสัญญาณ Wi-Fi ถือว่าเป็นตัวช่วยที่ดีในการใช้เวลาไปกับโลกออนไลน์ได้สนุกกว่า ไม่ว่าจะเล่นเกม ดูหนัง ฟังเพลงเลยทีเดียว นอกจากนี้ในตลาดยังมีตัวรับสัญญาณให้เลือกไม่น้อยเลย ทั้งราคาจับต้องได้ จะเป็นเครื่องใหญ่หรือฟังก์ชันอื่นที่ทำงานได้มากกว่า จนถือว่าเป็นอุปกรณ์ที่น่าจะช่วยให้การเล่นเน็ตได้ดีกว่าเดิมแบบไม่ต้องเสียอารมณ์อีกต่อไป

บรรณาธิการ
Table of Contents
แนะนำ 10 ตัวรับสัญญาณ WiFi ยี่ห้อไหนดี 2025

เริ่มต้นกันทีตัวรับสัญญาณอย่าง Xiaomi Wi-Fi Amplifier Pro หรือตัวรับจากแบรนด์ดังของจีนที่ไม่ได้มีแค่ราคาย่อมเยาเท่านั้น แต่ยังมีฟังก์ชันที่ให้มาแบบจัดเต็มครบ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการรับสัญญาณที่ช่วยเพิ่มความเสถียรให้กับอินเตอร์เน็ตมากขึ้น แถมยังช่วยให้กระจายสัญญาณซ้ำกับเครื่องเล่นอื่น ๆ จนถือว่าครบครันมาก ๆ ใครที่กำลังมองหาตัวรับ wifi พร้อมกับส่งต่อให้เครื่องอื่นได้ต้องไม่พลาด
รีวิวจากผู้ใช้จริง: รูปลักษณ์สิ้นค้าสวยงามดี ใช้งานง่ายมาก เชื่อมต่อก้ง่ายไม่ยาแก ผญ โง่it แบบนี่ก้ทำได้สบายๆ สัญญาณไวไฟไม่ได้แรงเท่าตัวหลัก แต่ก้รวมๆก้โอเค

ถือว่า ตัวรับสัญญาณ wifi ของ Tenda ก็เป็นตัวเลือกของคนไม่น้อยเลย เพราะว่าในรุ่น AX900 ที่มีขนาดเล็กพกพาง่าย แถมยังสามารถติดตั้งได้ง่าย ๆ ผ่านไดรเวอร์ภายในตัว โดยไม่จำเป้นต้องใช้ซอฟท์แวร์อื่น นอกจากนี้ยังสามารถยังใช้งานร่วมกับ Windows 7 - Windows 11 ไปจนถึง Linux ได้เลยทีเดียว ส่วนการรับสัญญาณได้ถึง wifi 6 จนสามารถรับความถี่ได้ถึง 886Mbps จากคลื่นความถี่ 2.4 และ 5G นั่นเอง
รีวิวจากผู้ใช้จริง: ตอนนี้ใช้มาได้เกือบอาทิตย์แล้ว ดีครับยังไม่เจอปัญหาอะไร ซื้อมาแก้ปัญหาโน๊ตบุ๊คหาสัญญาณไวไฟไม่เจอ เห็นว่าพึ่งเป็นสินค้ามาใหม่ มาลองซื้อกันได้ครับสำหรับโน๊ตบุ๊คใครที่รองรับไวไฟ 6 โดยรวมโอเคเลย

อีกหนึ่งตัวรับสัญญาณ wifi ที่รวดเร็วจาก TP-Link แม้ว่าจะมีราคาขึ้นมาเล็กน้อย แต่การดีไซน์แบบใหม่ก็ทำออกมาดูสวยมากขึ้น ส่วนเรื่องฟังก์ชันก็ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะสามารถรับสัญญาณได้ถึง 150Mbps พร้อมกับใช้งานได้ทั้งโน้ตบุ๊คหรือ PC แต่จะต้องเป็น Windows XP ไปจนถึง 10 เท่านั้น หรือคนใช้ Mac ก็ใช้งานได้ถึง OS10.11 ด้วยกัน เรียกว่าใช้งานง่ายเหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปแน่นอน
รีวิวจากผู้ใช้จริง: คุณภาพดีมาก ใช้ wifi 5G เจ้าหน้าที่ตอบคำถามได้ไว ขนส่งรวดเร็ว กล่องไม่ได้ใส่กันกระแทก แต่สภาพกล่องดีไม่บุบ ใช้งานดี

ตัวรับสัญญาณ wifi ของ TP-Link เรียกว่า มีให้เลือกหลากหลายจริง ๆ เพราะในรุ่น T2U Plus ก็เติมฟังก์ชันที่ทำให้ใช้งานได้สะดวกขึ้น ไม่ว่าจะเป็น 2 ความถี่ทั้งแบบ 2.4G และ 5G ที่รับความเร็วสูงสุดที่ 433Mbps ส่วนเสาสัญญาณก็หมุนได้ 180 องศาเพิ่มการปรับหาคลื่นความถี่ได้ดียิ่งขึ้น ส่วนการใช้งานก็ค่อนข้างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นทั้ง Windows XP ถึง 10 กับ MacOS X ที่น่าจะเพียงพอต่อการใช้งานเลยทีเดียว
รีวิวจากผู้ใช้จริง: เอามาใช้สำหรับคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปที่ไม่มีไวไฟติดมา ช่วยแก้ปัญหาเวลาเน็ตล่มได้ ใช้ฮอตสปอตจากมือถือแทน

ตัวรับสัญญาณ wifi จาก TP-Link ที่รับความถี่ได้สูงสุดถึง W-Fi 6 ของใหม่ที่เร็วกว่าเดิมหลายเท่า โดยสูงสุดจะอยู่ที่ 1201 Mbps เลยทีเดียวสำหรับสัญญาณ 5G ส่วนตัว 2.4G ก็ยังรับได้กว่า 574 Mbps เรียกได้ว่าค่อนข้างครบเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังใช้ USB 3.0 ช่วยให้การเชื่อมต่อไหลลื่นกว่าเดิม ไปจนถึงการรักษาความปลอดภัยที่ WPA3 ขณะที่การเชื่อมต่อก็ทำได้ง่ายและรองรับ Window 10 กับ 11 ตัวใหม่อีกด้วย
รีวิวจากผู้ใช้จริง: ตอนติดตั้งก็เอ๊ะ ซีดีรอมอะไร ไม่มีมาให้นะ สุดท้ายอ๋อ มันมีออโต้รัน สรุปการติดตั้งไม่ได้ยาก เชื่อมต่อง่าย สัญญาณดีขึ้น

เป็นตัวรับสัญญาณ Wi-Fi สุดแรงแน่นอนแค่ดูจากหน้าตาของ TP-LINK Archer TX20U Plus ที่พวกเขาให้เสาคู่มาเพื่อรับสัญญาณ Wi-Fi 6 ที่รวดเร็วกว่าเดิม จากความเร็วสูงสุดที่ 1201 Mbps ของสัญญาณ 5G กับ 574 Mbps ของสัญญาณ 2.4G แต่สิ่งที่เพิ่มมาก็คือ การรับสัญญาณที่กว้างขึ้นสามารถอยู่ในระยะที่ไกลกว่าเดิม รวมถึงความปลอดภัยจาก WPA3 ที่เรียกได้ว่าคุ้มค่าสุด ๆ สำหรับการใช้งาน
รีวิวจากผู้ใช้จริง: ติดตั้งได้ง่าย สะดวกในการใช้งาน วางไว้ด้านหลังจอ ไม่เกะกะ ประสิทธิภาพ ดีเยี่ยม การใช้งาน ดี connect network wifi ได้รวดเร็ว ไม่หลุด

เรียกว่าเป็นพี่ใหญ่ของตัวรับสัญญาณ wifi ได้เลย เพราะ TP-Link Archer TX20UH ถือเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ที่ฟังก์ชันเพียบ ไม่ว่าจะเป็นการรับสัญญาณ W-Fi 6 ตัวใหม่ที่สามารถรับสัญญาณได้ถึง 1201 Mbps จากสัญญาณ 5G ขณะที่การเชื่อมต่อก็ทำได้ง่ายๆ ด้วยการเสียบ USB 3.0 และใช้งานทันที โดยตัวเสาขนาดใหญ่ที่พวกเขาให้มาจะช่วยรับสัญญาณในระยะที่ไกลขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทำงานอีกห้องหนึ่งในอาคารเดียวกันก็ไม่มีปัญหา
รีวิวจากผู้ใช้จริง: ตัว USB Wi-Fi อันนี้สั่งมาให้แฟนใช้ค่ะ ขนส่งเร็วมากกก และก็กล่องถูกห่อมาอย่างดีเลยค่ะ สินค้าใช้งานได้ดีเลยค่ะ สัญญาณเข้าจริง และใช้กับเน็ตหอ รู้สึกว่าเสถียรและเร็วขึ้นเลยค่ะ (คอมแฟนไม่มี Card Wi-Fi ค่ะ) และแนะนำว่าตอนได้แล้วต้องอ่านคู่มือค่ะสำคัญมากก เพราะตัวน้องเขาต้องเสียบกับ USB 3.0 ค่ะ และก็ต้องลง Driver ด้วยค่ะ ถึงจะสามารถใช้งานได้ โดยรวมคุณภาพดีเยี่ยมค่ะ

มาดูตัวรับสัญญาณ wifi ในราคาไม่แรงอย่าง TP-Link Archer T3U Plus กันบ้าง เพราะในราคาไม่ถึง 1,000 บาท แต่พวกเขาสามารถใช้งานได้ถึงสองสัญญาณ ทั้ง 5G และ 2.4G เลยทีเดียว แถมยังรับความเร็วสูงสุดได้ที่ 867 Mbps ไปจนถึงการรับสัญญาณทั้งสองได้พร้อมกัน ส่วนเรื่องการใช้งานกับคอมพิวเตอร์ก็ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะใช้ได้ตั้งแต่ Windows XP ไปจนถึง MacOs ที่เรียกว่าใช้งานง่าย ราคาดีสุด ๆ
รีวิวจากผู้ใช้จริง: สินค้าอุปกรณ์คุณภาพดี ใช้งานง่าย รับสัญญาณได้ดีมาก

ใครหาตัวรับสัญญาณ wifi ราคาเบา ๆ ต้อง Mercusys MW300UM N300 ที่ไม่ถึงสองแบงค์แดง แถมมีรับประกันนานหนึ่งปีด้วย โดยตัวอุปกรณ์สามารถรับความเร็วสูงสุดที่ 300 Mbps ที่เพียวพอในการใช้งานทั่วไป นอกจากนี้ยังรองรับการใช้งานกับ Windows ไล่มาตั้งแต่ XP ถึง 10 ด้วยกัน สำหรับคนที่ตามหาตัวรับสัญญาณที่เชื่อมต่อง่าย ๆ ก็ไปจัดกันได้เลย แม้ว่าจะใช้ไม่ได้กับฝั่งของ Mac ก็ตาม
รีวิวจากผู้ใช้จริง: ทดสอบแล้วสัญญาณ WiFi ดีมาก ติดตั้งง่ายเสียบปุ๊บเจอปั๊บ ร้านนี้แนะนำค่ะ

ปิดท้ายกันด้วย ตัวรับสัญญาณ wifi จาก UGREEN รุ่น 5034 ที่มาพร้อมกับการรับสัญญาณถึง 2 คลื่นความถี่ในราคาไม่ถึง 600 บาท โดยรองรับความเร็วสูงสุดได้ที่ 867 Mbps ด้วยกันสำหรับสัญญาณ 5G นอกจากนี้ยังออกแบบมาให้ใช้งานกับทั้ง Windows, Linux และ MacOS เรียกว่าครอบคลุมสุด ๆ ส่วนสิ่งที่พวกเขาเพิ่มมายังเป็นการทำเป็น Hotspot ส่งออกให้กับเครื่องอื่นได้ด้วย เรียกว่ายิ่งกว่าเพียบพร้อมของจริง
รีวิวจากผู้ใช้จริง: อุปกรณ์ใช้งานง่ายมากๆ แค่เสียบเข้าพอร์ต usb ของคอมพิวเตอร์ แล้วกดเลือก รับสัญญาณ WiFi ร้านค้าส่งไว แพ็คสินค้า ปลอดภัย packaging ดี ขนส่ง รวดเร็วมีโทรแจ้งตอนส่ง
WiFi Receiver คืออะไร ทำงานอย่างไร
WiFi Receiver หรือ ตัวรับสัญญาณ WiFi เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้คอมพิวเตอร์, โน๊ตบุ๊ค, หรืออุปกรณ์อื่นๆ ที่ไม่มีโมดูล WiFi ในตัว หรือมีตัวรับสัญญาณที่อ่อนเกินไป สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านเครือข่าย WiFi ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยอุปกรณ์นี้จะทำหน้าที่รับสัญญาณไร้สายจากเราเตอร์หรือฮอตสปอตใกล้เคียง แล้วแปลงข้อมูลเป็นสัญญาณที่คอมพิวเตอร์สามารถอ่านและใช้งานได้
หลักการทำงานของ WiFi Receiver
- รับสัญญาณไร้สาย (Wireless Signal Reception): WiFi Receiver มีเสาอากาศและชิปเซ็ตภายในที่ออกแบบมาเพื่อจับสัญญาณ WiFi จากแหล่งปล่อยสัญญาณ เช่น Router หรือ Access Point ยิ่งตัวรับสัญญาณมีเสาที่มีประสิทธิภาพสูงเท่าไร ก็สามารถรับสัญญาณได้ในระยะไกลขึ้น
- แปลงสัญญาณเป็นข้อมูลดิจิทัล (Signal Processing): เมื่อได้รับคลื่นสัญญาณ WiFi แล้ว อุปกรณ์จะประมวลผลสัญญาณและแปลงเป็นข้อมูลที่คอมพิวเตอร์สามารถอ่านและใช้ได้
- ส่งข้อมูลผ่านพอร์ตเชื่อมต่อ (Data Transmission to Device): WiFi Receiver ที่ใช้กับคอมพิวเตอร์มักเชื่อมต่อผ่าน พอร์ต USB หรือ PCIe (สำหรับเดสก์ท็อป) เพื่อถ่ายโอนข้อมูลที่ได้รับไปยังระบบปฏิบัติการ
- เข้ารหัสและถอดรหัสสัญญาณ (Encryption & Decryption): รองรับโปรโตคอลความปลอดภัย เช่น WPA2, WPA3 เพื่อเข้ารหัสสัญญาณ ป้องกันการดักฟังข้อมูล
ประเภทของ WiFi Receiver
- USB WiFi Receiver – ขนาดเล็ก ติดตั้งง่าย ใช้งานได้ทันที
- PCIe WiFi Card – สำหรับเดสก์ท็อป ให้ความเร็วและสัญญาณที่เสถียรกว่า
- WiFi Dongle with External Antenna – มีเสาอากาศช่วยเพิ่มระยะรับสัญญาณ
วิธีเลือกซื้อตัวรับสัญญาณ WiFi
อันดับแรกต้องดูว่า ตัวรับสัญญาณ wifi ที่ต้องการใช้งานร่วมกับคอมพิวเตอร์ที่เรามีอยู่ได้หรือเปล่า รวมถึงการใช้สัญญาณที่ต้องรับแบบ 5G หรือแค่ 2.4G เท่านั้น เช่นเดียวกับราคา ไปจนถึงพอร์ทการเชื่อมต่อ USB ที่ตัวเครื่องรองรับ
WiFi Receiver ทำให้สัญญาณไวขึ้นไหม
ที่จริงแล้วตัวรับสัญญาณ wifi จะทำให้คอมพิวเตอร์รับสัญญาณได้เร็วขึ้นได้ขึ้นอยู่กับความเร็วของเราท์เตอร์ตัวหลัก หาก Wi-Fi หลักมีความเร็วสูงสุดแล้ว ตัวรับจะสามารถรับสัญญาณได้ไม่เกินจากนั้น แต่ในกรณีที่รับสัญญาณเดิมของคอมพิวเตอร์ไม่ได้แรงแต่แรก ตัว Receiver จะมาแก้ปัญหาตรงนี้ได้
PC หรือ Laptop รุ่นใหม่ยังจำเป็นต้องใช้ WiFi Receiver อยู่ไหม
ปัจจุบันตัว Laptop อาจจะไม่ได้ต้องการ WiFi Receiver แล้ว แต่สำหรับคอมพิวเตอร์ที่ประกอบเองยังคงจะต้องใช้อยู่ โดยเฉพาะคนที่อยากได้สัญญาณ Wi-Fi แรง ๆ เช่นเดียวกับคนที่ใช้แล็บท็อปแล้วอาจจะรับสัญญาณได้น้อยเกินกว่าที่ต้องการ ก็อาจใช้ตัวรับสัญญาณมาเสริมได้เช่นกัน
บทส่งท้าย
จะเห็นแล้วว่าตัวรับสัญญาณ Wi-Fi มีให้เลือกไม่น้อยเลย เหลือเพียงแค่ปัจจัยความต้องการของแต่ละคนที่อาจจะต้องการรับสัญญาณจากระยะไกลมากขึ้น ต้องการใช้เป็น Hotspot เพิ่มเติม หรือต้องการใช้สัญญาณจาก Wi-Fi 6 ที่รวดเร็วมากกว่าเดิม ที่เหลือก็แค่เช็คตัวอุปกรณ์ว่ารองรับกันหรือไม่ เช่นเดียวกับพอร์ทที่สำคัญต่อการเชื่อมต่อที่สุดนั่นเอง