ในยุคที่อะไรก็แพงไปหมด การหาโทรศัพท์มือถือดี ๆ สักเครื่องก็ไม่จำเป็นจะต้องจัดเต็มอีกต่อไป ซึ่งปัจจุบันมือถือราคาไม่เกิน 15,000 บาทก็เต็มไปด้วยฟีเจอร์ที่น่าสนใจไม่น้อย รวมถึงมีความคุ้มค่าที่สามารถใช้งานได้นานหลายปีเลยทีเดียว โดยแบรนด์มากมายในท้องตลาดก็เริ่มเข้ามาแข่งขันกันในรุ่นกลางที่จัดว่า เป็นทำรายได้เป็นอย่างดี แถมผู้ใช้ก็มักจะได้โทรศัพท์มือถือที่คุ้มค่าสุด ๆ ซึ่งเรายกมาให้ถึง 10 รุ่นด้วยกัน

บรรณาธิการ
Table of Contents
10 มือถือราคาไม่เกิน 15,000 บาท รุ่นไหนดี สุดเจ๋ง แรงดี กล้องใช้ได้ 2025

เริ่มกันที่ Samsung Galaxy A53 5G ที่ถือเป็นมือถือราคาไม่เกิน 15,000 บาทที่น่าสนใจ เพราะมีฟีเจอร์ที่จัดเต็มแบบคนชอบใช้สมาร์ทโฟนทั่วไปต้องการกันเลย ไม่ว่าจะเป็นกล้องที่ให้มาถึงสามตัวและเลนส์กล้องหน้าที่ละเอียดถึง 32 MP ส่วนหน้าจอ Super AMOLED ก็ยังไหลลื่นด้วยรีเฟรชเรทถึง 120 Hz ด้วยกัน เรื่องความทนทานก็ยังกันน้ำในระดับ IP67 จนน่าจะเป็นมือถือรุ่นแรก ๆ ที่คนให้ความสนใจในราคากลาง ๆ แบบนี้
ข้อมูลเฉพาะ
สี: Awesome Black, Awesome Blue, Awesome Peach | น้ำหนัก: 189 g | Ram: 8 GB | Rom: 128 GB | ขนาดหน้าจอ: 6.5 นิ้ว | ระบบปฏิบัติการ: One UI 4.1, Android 12
รีวิวจากผู้ใช้จริง: สินค้าใช้งานได้ดี สีฟ้าสวยน่ารักมากกกกกกก

ต่อกันด้วยมือถืออีกหนึ่งตัวจากแบรนด์ Samsung ที่ยังคงมีมือถือในงบเบา ๆ ที่ต่ำกว่า 15,000 บาทอีกตัว ซึ่งในรุ่นที่ชื่อว่า A33 ก็ยังสามารถรับสัญญาณ 5G ได้เช่นกันและนับว่า เป็นการพัฒนามาจากรุ่น A32 ได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นชิปอย่าง Exynos 1280 ที่เทียบเท่ากับรุ่น A53 กันเลย แต่สิ่งที่จะด้อยกว่าก็เพียงแค่เลนส์กล้องที่มีความละเอียดสูงสุดที่ 48 MP เช่นเดียวกับกล้องหน้าที่ 13 MP แม้จะเพียงพอต่อการใช้งานกับราคาที่คุ้มสุด ๆ ก็ตาม
ข้อมูลเฉพาะ
สี: Awesome Black, Awesome Blue, Awesome Peach | น้ำหนัก: 186 g | Ram: 8 GB | Rom: 128 GB | ขนาดหน้าจอ: 6.4 นิ้ว | ระบบปฏิบัติการ: One UI 4.0, Android 12
รีวิวจากผู้ใช้จริง: สินค้ามีคุณภาพ เสียอย่างเดียวไม่มีหัวชาร์จมาให้

ถ้าพูดถึงสมาร์ทโฟนราคาไม่เกิน 15,000 บาทแล้ว แบรนด์ที่จะต้องโผล่ขึ้นมาเป็นอันดับต้น ๆ ก็คือ Xiaomi นั่นเอง ซึ่งในรุ่น 11T ที่หลายคนจับตาดูก็ยังรักษาความเป็นมือถืองบประหยัดเช่นเคย แต่พวกเขายังใส่ฟีเจอร์จัดเต็มอย่างการใช้เลนส์หลักความละเอียดที่ 108 MP แบบจุใจเต็มตา เช่นเดียวกับหน้าจอแบบ Super AMOLED 120 Hz ที่ไหลลื่นอย่างแน่นอน เช่นเดียวกับการรองรับอัปเดตจาก MIUI ที่ได้อย่างน้อยสามรุ่นด้วยกัน
ข้อมูลเฉพาะ
สี: Meteorite Gray, Celestial Blue, and Moonlight White | น้ำหนัก: 204 g | Ram: 8 GB | Rom: 128 GB | ขนาดหน้าจอ: 6.67 นิ้ว | ระบบปฏิบัติการ: MIUI 12.5, Android 11
รีวิวจากผู้ใช้จริง: เครื่องใหม่ใส่กล่องสมบูรณ์ไม่มีปัญหา อัปกรณ์ครบ รูปถ่ายชัดและสวยดีมาก ใช้งานง่ายเครื่องทำงานเร็วดีคุ้มค่าสมราคา

ต่อให้ด้วยมือถือ Xiaomi รุ่น Redmi Note 10 Pro ที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะว่าพวกเขาได้ใช้ชิปอย่าง Snapdragon 732G ที่ขึ้นชื่อเรื่องคุณภาพของการประมวลผลที่ดีมากกว่านั่นเอง แถมยังได้ใช้เลนส์กล้องความละเอียดถึง 108 MP ด้วยกันแบบคุ้ม ๆ ไปเลย นอกจากนี้ยังรองรับการชาร์จเร็วถึง 33W ด้วยกัน ส่วนหน้าจอก็เป็นแผง AMOLED ที่มีรีเฟรชเรทถึง 120 Hz ซึ่งก็น่าจะเพียงพอแล้ว แม้ไม่ได้ Android 12 ก็ตาม
ข้อมูลเฉพาะ
สี: Onyx Gray, Glacier Blue, Gradient Bronze, Dark Night | น้ำหนัก: 193 g | Ram: 8 GB | Rom: 128 GB | ขนาดหน้าจอ: 6.67 นิ้ว | ระบบปฏิบัติการ: MIUI 12, Android 11
รีวิวจากผู้ใช้จริง: ใช้ดี ใช้ลื่น กล้องชัดมาก แถมจอยังสู้แสงแดดได้ พร้อมกับหน้าจอที่ไหลลื่น ไม่มีสะดุด สเปคกลางๆ แต่กล้องเทพใครหากล้องดีๆ อยู่จัดเลย

เป็นมือถือราคาไม่เกิน 15,000 บาทที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นานอย่าง Redmi Note 11S ที่มีฟีเจอร์ใหม่ ๆ ใส่เข้ามาอย่างน่าสนใจ ซึ่งพวกเขาก็ยังใช้แผงหน้าจอแบบ AMOLED กับรีเฟรชเรทที่ 120 Hz เหมือนเดิม แล้วยังคงใส่ฟังก์ชันต่าง ๆ ที่หลายคนชอบกันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นแบตเตอรี่ที่อึดกว่าเดิม ช่องใส่ Micro SD หรือจะเป็นช่องเสียบหูฟังที่ยังอยู่เหมือนเดิม แถมยังมีการกันน้ำที่ IP53 ที่ช่วยให้เครื่องทนทานกว่าเดิม
ข้อมูลเฉพาะ
สี: Onyx Gray, Pebble White, Sea Blue, Starry Purple | น้ำหนัก: 179 g | Ram: 8 GB | Rom: 128 GB | ขนาดหน้าจอ: 6.43 นิ้ว | ระบบปฏิบัติการ: MIUI 13, Android 11
รีวิวจากผู้ใช้จริง: สวยทั้งตัวเครื่องและหน้าจอ เครื่องเบาไม่หนัก และเครื่องใช้ได้ลื่นไหลดีครับ

แทบไม่ต้องบรรยายสรรพคุณของมือถือราคาไม่เกิน 15,000 บาทของ Poco X4 GT ที่มาในราคาเพียง 11,990.00 บาทเท่านั้น แต่ยังมีฟีเจอร์ที่จัดเต็มเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอ LCD กับรีเฟรชเรทถึง 144 Hz ที่ไหลลื่นเนียนตากว่าที่เคย ตามไปถึงชิปที่ทำหน้าที่ได้ดี เช่นเดียวกับกล้องที่ความละเอียดสูงสุดที่ 64 MP ก็น่าจะเพียงพอต่อการจับภาพสวย ๆ อีกทั้งได้ชิป Dimensity 8100 ที่ประมวลในการเล่นเกมได้แบบสบาย ๆ
ข้อมูลเฉพาะ
สี: Silver, Black, Blue | น้ำหนัก: 200 g | Ram: 8 GB | Rom: 256 GB | ขนาดหน้าจอ: 6.6 นิ้ว | ระบบปฏิบัติการ: MIUI 13, Android 12
รีวิวจากผู้ใช้จริง: คุณภาพสมราคาพอใช้งานได้แต่ต้องรอดูไปนานๆถ้าเสถียรขึ้นก็น่าจะชนตัวท็อปได้ดีตอนนี้อย่าหาเปรียบลื่นหลุด

กลายเป็นรุ่นที่อัปเกรดขึ้นมาอีกทีหนึ่ง สำหรับทาง Poco X4 Pro ที่รองรับสัญญาณ 5G แถมยังมีราคาไม่เกิน 15,000 ที่สบายกระเป๋าไม่น้อยเลย ซึ่งจุดเด่นของรุ่นอย่าง X4 Pro ก็จะเป็นหน้าจอที่พัฒนาขึ้นมาอย่าง AMOLED ที่มีค่ารีเฟรชเรทถึง 120 Hz ด้วยกัน กล้องก็ยังมีความละเอียดสูงสุดที่ 108 MP เช่นเดียวกับการใช้ชิป Snapdragon 695 ในการรับสัญญาณ 5G รวมถึงชาร์จได้เร็วมากถึง 67W ที่เรียกว่า ใช้งานได้อย่างสบาย ๆ
ข้อมูลเฉพาะ
สี: Laser Blue, Laser Black, Poco Yellow | น้ำหนัก: 205 g | Ram: 8 GB | Rom: 256 GB | ขนาดหน้าจอ: 6.67 นิ้ว | ระบบปฏิบัติการ: MIUI 13, Android 11
รีวิวจากผู้ใช้จริง: หน้าตาสวยสเปคแรงเหมาะสมกับราคา รวมแล้วเป็นโทรศัพท์ที่น่าใช้เหมาะกับราคานี้ดี

มองข้ามไม่ได้เลย สำหรับ Oppo Reno8 Z ที่เปิดตัวออกมาในราคาเพียง 12,990 บาทเท่านั้น แต่เป็นรุ่นที่พวกเขาได้ใช้ชิปอย่าง Snapdragon 965 ที่รับประกันคุณภาพพอสมควร โดยจุดเด่นของพวกเขายังคงเน้นไปที่คุณภาพของกล้องที่ความละเอียดสูงสุดที่ 64 MP แถมยังมี AI สำหรับการถ่ายภาพ Portrait ที่จัดว่า สาวกของแบรนด์ต้องการมาตลอด เท่านั้นยังไม่พอพวกเขายังทำแบตเตอรี่ที่ใช้ได้นานและชาร์จได้ไวอีกด้วย
ข้อมูลเฉพาะ
สี: Dawnlight Gold, Starlight Black | น้ำหนัก: 181 g | Ram: 8 GB | Rom: 128 GB | ขนาดหน้าจอ: 6.43 นิ้ว | ระบบปฏิบัติการ: ColorOS 12, Android 11
รีวิวจากผู้ใช้จริง: ซื้อเป็นของขวัญวันเกิดให้แฟน เพราะแฟนเป็นสาวก Oppo ใช้มาตลอดไม่เคยเปลี่ยนยี่ห้อเลย ใช้มาตั้งแต่รุ่นเก่า จนรู้สึกว่าถึงเวลาเปลี่ยนให้นางล่ะ ชอบฟังก์ชั่นถ่ายภาพกลางคืนคมชัดด้วยโหมด Portrait และระบบชาร์จไฟเร็ว 80W รวมถึงดีไซน์ขอบเหลี่ยม อันนี้ชอบมาก อยากให้มีมานานแล้ว อีกทั้งของแถมเยอะด้วย คุ้มค่ามากก

ต่อด้วยมือถือจาก OnePlus ในรุ่น Nord 2T ที่เหมาะกับคนงบไม่เกิน 15,000 บาทอีกตัว เพราะว่าจุดเด่นของพวกเขาก็ยังเป็นรูปลักษณ์ภายนอกที่สวยงาม พร้อมกับจอ AMOLED กับรีเฟรชเรทที่ 90 Hz แบบไหลลื่นสุด ๆ ไปจนถึงการชาร์จถึงที่ 80W แบบสุดแรงและใช้เวลาไม่นานเลยสำหรับคนที่มีสิ่งต่าง ๆ ต้องทำในแต่ละวัน ส่วนกล้องที่ใช้เลนส์จาก Sony อย่าง IMX766 ก็น่าจะทรงพลังในราคาที่ไม่ต้องใช้มือถือเรือธงกันเลย
ข้อมูลเฉพาะ
สี: Gray Shadow, Jade Fog | น้ำหนัก: 190 g | Ram: 8 GB | Rom: 128 GB | ขนาดหน้าจอ: 6.43 นิ้ว | ระบบปฏิบัติการ: OxegenOS 12.1 Android 12
รีวิวจากผู้ใช้จริง: ลื่นมาก แล้วก็เบา กล้องหลังสวย โดยรวมโอเครเลยครับ

มือถือราคาไม่เกิน 15,000 บาทรุ่นสุดท้ายที่จะมาแนะนำกันก็คือ realme GT Neo 2 ที่เพิ่งจะเปิดตัวช่วงปลายปีที่ผ่านมาเท่านั้น ซึ่งพวกเขามีจุดเด่นที่การใช้ชิปอย่าง Snapdragon 870 5G ที่จะเล่นเกมได้ดีอย่างแน่นอน แถมตัวหน้าจอก็ยังใช้แผง AMOLED 120 Hz ที่ไหลลื่นถนัดมือ ส่วนแบตเตอรี่ก็ยังให้มาถึง 5,000 mAh ที่อยู่ได้ข้ามวัน เช่นเดียวกับเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นเกมด้วยการใช้ลำโพง Dolby Atmos นั่นเอง
ข้อมูลเฉพาะ
สี: Neo Blue, Neo Green, Neo Black | น้ำหนัก: 199.8 g | Ram: 8 GB | Rom: 128 GB | ขนาดหน้าจอ: 6.62 นิ้ว | ระบบปฏิบัติการ: realme UI 2.0 Android 11
รีวิวจากผู้ใช้จริง: realme GT Neo2 5G ลองทดสอบใช้งานมา 3 วันคุณภาพดีมาก อัพเดทเป็น android 12 แล้วไม่มีติดขัดตรงไหนเลยครับเล่นโปรแกรมอะไรก็ลื่นเล่นเกมก็ลื่น สมกับราคาที่ซื้อครับ
โทรศัพท์ราคาไม่เกิน 15000 บาท เหมาะกับใครบ้าง
ต้องยอมรับว่า มือถืองบไม่เกิน 15,000 บาทจะเหมาะกับคนที่ไม่ได้ต้องการใช้โทรศัพท์เรือธงที่สเปคแรงที่สุดของแบรนด์ แต่เน้นไปที่ความคุ้มค่ามากกว่า เพราะฟีเจอร์บางตัวของเหล่าสายสยบเรือธงก็สามารถใช้งานได้หลายปีแบบสบาย ๆ รวมไปถึงคนที่ไม่ได้ต้องการจะใช้งานโทรศัพท์ของตัวเองแบบหนัก ๆ ก็สามารถหาซื้อมือถือระดับกลางไปใช้ได้ในชีวิตประจำวัน
สิ่งที่ต้องยอมรับเมื่อซื้อมือถือราคาไม่เกิน 15000 บาท
เรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ของโทรศัพท์ราคาไม่เกิน 15,000 บาทก็คือ ข้อบกพร่องในฟีเจอร์บางอย่างที่จะสู้กับโทรศัพท์ราคาแรง ๆ ไม่ได้ เช่น ชิปที่จะด้อยกว่าหรือเรื่องความปลอดภัยและกันน้ำนั่นเอง นอกจากนี้ในเรื่องการอัพเดทก็อาจรับประกันน้อยกว่า จนอาจไม่ได้ใช้รุ่นใหม่เมื่อผ่านไปไม่กี่ปีเช่นกัน
วิธีเลือกโทรศัพท์ราคา ไม่เกิน 15000 บาท
เพราะโทรศัพท์งบไม่เกิน 15,000 บาทจะมีฟีเจอร์บางอย่างถูกตัดออกไปก็ต้องไปสังเกตว่า ต้องการจะใช้ในรูปแบบไหน หากเป็นคนต้องทำงานลุย ๆ ออกไปข้างนอกเยอะก็ควรเลือกที่มีค่า IP มากกว่า หรือคนที่อยู่ในร่มมากกว่าก็หันไปเลือกฟีเจอร์เรื่องความแรงหรือการใช้งานลูกเล่นอื่นจะดีกว่า เช่นเดียวกับคนที่ต้องการอัพเดทนานหน่อยก็ให้เลือกแบรนด์ดังในตลาดเพื่อความอุ่นใจของผู้ใช้เอง
บทส่งท้าย
จากมือถือราคาไม่เกิน 15,000 บาททั้ง 10 ตัวที่ยกมาก็น่าจะเห็นถึงจุดเด่นของแต่ละรุ่นกันแล้ว ซึ่งจะมีตัวเลือกให้กับผู้ที่สนใจที่จะนำไปใช้ให้เข้ากับชีวิตประจำวันของแต่ละคนได้อย่างสบาย ๆ โดยสมา์รทโฟนบางรุ่นก็มีฟีเจอร์ที่เทียบเท่ากับเรือธงต่าง ๆ ในตลาดกันเลย หรือจะเป็นคนที่อยากได้มือถือสำรองสักตัวก็หารุ่นที่สเปคไม่ต่างกันมากไปใช้ได้เช่นกัน