เอาใจคนรักเสียงและทำงานด้านเสียงกันด้วย Sound Card หรือที่หลายคนเรียกกันว่า การ์ดเสียงหนึ่งในอุปกรณ์ที่สำหรับการทำงานด้านเสียงและการดูหนัง ฟังเพลง หรือเล่นเกม เป็นตัวช่วยที่สำคัญในการใช้เครื่องเสียงให้เต็มประสิทธิภาพ Sound Card หรือ Audio Interface นั้นมีให้เลือกหลากหลายทั้งแบบที่ไว้บันทึกเสียงหรือใช้ในงานดนตรี และแบบที่ใช้สำหรับการดูหนังฟังเพลง เล่นเกม ฟังก์ชัน ความสามารถ ช่องเชื่อมต่อ การควบคุม และลักษณะการใช้งานที่ให้มาก็จะแตกต่างกันไป นอกจากนั้นยังมีให้เลือกทั้งแบบ External และแบบ Internal ให้เลือกเหมาะกับการใช้งาน ซึ่งในครั้งนี้เราก็คัดมาให้เลือกหลากหลายรูปแบบแต่จะเน้นไปที่การใช้งานระดับเริ่มต้น ถ้าพร้อมกันแล้วก็ไปดูกันเลยว่าจะมี sound card ยี่ห้อไหนดีบ้าง
บรรณาธิการ
Table of Contents
10 Sound Card ยี่ห้อไหนดี ใช้งานได้รอบด้าน 2024
เริ่มกันที่ Internal Sound Card ที่ออกแบบมาเพื่อ Gamer ด้วยไฟ RGB สุดเท่จากแบรนด์ CREATIVE ที่มาพร้อมระบบเสียง 5.1 เพื่อให้การเล่นเกม หรือ ดูหนัง นั้นเต็มอิ่มและสมจริง ได้ยิ่งเสียงเท่าศัตรูชัดเจน นอกจานนั้นยังมีเทคโนโลยี Dolby Digital Live และ DTS Encoding ที่ให้เสียงเซอร์ราวด์ที่มากขึ้น ความละเอียดเสียงระดับพิเศษ SABRE 32bit 384 kHz และ DAC ให้ความดังที่ 122 dB พร้อมแอมป์หูฟัง Xamp แบบแยก ด้านการเชื่อมต่อใช้การเชื่อมต่อผ่าน PCI-e และให้ช่องเชื่อมต่อมาที่ 5 ช่องรองรับการใช้งานได้หลากหลาย
รีวิวจากผู้ใช้
“ต้องมีไดรเวอร์ และยูทิลิตี้ควบคุม เปิดปิดนี้เสียงดีต่างกันของแท้ ลำโพงที่ดีอยู่แล้ว ตั้งค่าให้ถูกใจ มีมิติขึ้นมากมาย เสียงชัดเจนทุกรายละเอียด ได้ยินแยกชัดเจน”
สำหรับมืออาชีพ หรือใครที่ต้องการใช้งาน Sound Card แบบจริงจังและต้องการใช้งานเชื่อมต่อผ่าน PCI-e หรือ Internal Sound Card โดยรุ่นนี้มาพร้อมฟีเจอร์แบบอัดเน้นจากแบรนด์ Creative เลยให้รายละเอียดเสียงสูงสุด 32bit และ 384 kHz พร้อม Xamp แอมป์ที่ทำงานร่วมกันสองชุด มี Audio Control Module เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานมากยิ่ง รองรับรูปแบบเสียงที่หลากหลาย พร้อมช่องต่อไมค์แบบ XLR สำหรับงานบันทึกเสียงระดับมืออาชีพ
รีวิวจากผู้ใช้
“AE-9 เปลี่ยนโลกการฟังเพลงบนคอมไปเลย ”
มาดูกันที่ตัวเลือกระดับเริ่มต้นสำหรับ Internal Sound Card ด้วย PCI-e จาก creative กันบ้างมาพร้อมช่องเชื่อมต่อ 7 ช่องได้แก่ Optical Out 1 ช่อง, Microphone In 3.5mm jack 1 ช่อง, Line In 3.5mm jack 1 ช่อง, Headphone Out 3.5mm jack 1 ช่อง, Line Out 3.5mm jack 3 ช่อง (Front Out/Rear/Side R/C / Sub / Side) พร้อมเทคโนโลยีระบบเสียง 7.1 Channels ให้ความดังได้สูงสุด 106dB ความละเอียดเสียง 24bit 192kHz ให้กำลังขับหูฟังได้สูงสุดถึง 600AMP
รีวิวจากผู้ใช้
“ได้รับห้าดางจากผู้ซื้อ”
ใครที่กำลังมองหา การ์ดเสียงหรือ Sound Card ที่สามารถพกพาไปใช้งานที่ต่าง ๆ ได้สะดวกเน้นการใช้งานเล่นเกม พร้อมรองรับเทคโนโลยีและระบบเสียงหลากหลายทั้ง Xamp, โหมด SBX และ Scout, Dolby Audio, ระบบเสียง Virtual 5.1 และ 7.1 ด้านคุณภาพเสียงก็ให้มาถึงระดับ Hi-res เลยด้วย รายละเอียดเสียงระดับ 32bit 384kHz ที่ความดังเสียงสูงสุด 130 dB การเชื่อมต่อก็รองรับอุปกรณ์ได้หลากหลาย ทั้งเครื่องเล่นเกม คอมพิวเตอร์ เครื่องเล่น ต่าง ๆ และโทรศัพท์มือถือก็ได้
รีวิวจากผู้ใช้
“รูปทรงสวย คุณภาพเสียงดีมาก ดีทุกย่านเสียง ฟังเพลงดีมาก ปรับเสียงdirect ได้ ปิดไป LED ได้ เยี่ยม”
มาดู External Sound Card ที่จิ๋วแต่แจ๋วกันบ้าง พร้อมออกแบบมาสำหรับการใช้งาน gaming จากแบรนด์ EPOS แบรนด์เครื่องเสียง gaming จาก Sennheiser โดย GSX 300 จะโดดเด่นด้วยดีไซน์ที่สวยทันสมัยที่มีให้เลือก 2 สี ในขนาดที่กะทัดลัดใช้การเชื่อมต่อผ่าน USB 2.0 ใช้งานและปรับแต่งผ่าน Sennheiser gaming suite มีช่องเชื่อมต่อ 3.5 mm สำหรับหูฟัง 1 ช่อง และอีกช่องสำหรับไมโครโฟน ด้านความละเอียดเสียงที่สามารถให้ได้สูงสุดที่ 24bit 96kHz
รีวิวจากผู้ใช้
“เห็นราคาไม่แรงเลยจัดมา 1 ตัว โอเคเลย ตัวเล็กใช้ง่าย เสียงดี เอามาขับหูฟังเกมมิ่ง”
มาดูกันที่การใช้งานด้านการทำเพลง ในระดับเริ่มต้นกันบ้างโดยในรุ่นนี้มาพร้อมช่องเชื่อมต่อที่รองรับทั้งเครื่องดนตรีอย่างกีต้าร์ และ ไมโครโฟนที่มาพร้อมปรีไมค์จาก MIDAS บริษัทผู้ผลิต Mixer Console ชั้นนำระดับโลก มี GAIN หมุนปรับได้สะดวก และมี OUTPUT ลำโพง ซ้ายขวาและหูฟัง ให้ความละเอียดได้สูงสุดที่ 24-bit 48 kHz เชื่อมต่อด้วย USB 2.0 ถือว่าเป็นหนึ่งตัวที่น่าสนใจสำหรับใครที่ต้องการทำเพลงในระดับเริ่มต้นหรือ ทำ Cover เพลง
รีวิวจากผู้ใช้
“เสียบสายใช้งานได้เลย ไม่ต้องติดตั้งไดร์เวอร์”
อีกหนึ่งรูปแบบของ การ์ดเสียง USB หรือ External Sound Card ที่จะมาในรูปแบบที่เล็กกะทัดรัดสุด ออกแบบมาเพื่อการใช้งานระดับเริ่มต้น โดยรุ่นที่เราเลือกมาจะมาพร้อมความสามารถในการจำลองระบบเสียงแบบ 7.1 Channel ด้วย และยังมีปุ่มควบคุมต่าง ๆ ที่สามารถควบคุม การทำงานได้ง่าย ทั้งเพิ่มลดเสียงและเปิด-ปิดไมค์ ด้านการเชื่อมต่อใช้ USB และ ช่องหูฟัง 1 ช่องกับไมค์ 1 ช่องและช่อง Combo ที่รองรับหูฟังและไมค์อีก 1 ช่องในรูปแบบ Jack 3.5mm.
รีวิวจากผู้ใช้
“ใช้งานได้ดีมากครับ มีหลายโหมด ใช้งานได้ตามคงามเหมาะสม บูสเสียงได้ดีตามโหมดต่างๆ ”
ไม่ว่าจะเป็นการบันทึกเสียงร้องหรือเสียงเครื่องดนตรี ซาวด์การ์ด Focusrite Scarlett Solo Gen3 ก็สามารถให้เสียงที่คุณภาพสูงได้ ในขนาดระดับ โฮมสตูดิโอ พร้อมการใช้งานที่ง่าย ช่องเชื่อมต่อครบครัน ทั้งสำหรับเครื่องดนตรี และ ไมโครโฟนที่สามารถให้ความละเอียดเสียงได้สูงสุดที่ 24-bit/192KHz พร้อมกับ preamps กับฟังก์ชัน Air-Mode ช่วยให้เสียงร้อง เสียงเครื่องดนตรีใส สะอาด สว่าง และกว้างขึ้น ทำให้ได้งานเสียงระดับมืออาชีพ ไม่เพียงเท่านั้นยังให้ Software ทำเพลง ฟรีด้วย
รีวิวจากผู้ใช้
“ใช้ดีมากครับ เสียงดีขึ้นเยอะเลย”
สำหรับใครที่กำลังมองหาตัวเลือก sound card สำหรับการทำ podcast หรือ streaming ในนราคาคุ้ม ๆ ต้องนี่เลย Maono AU-AM200 อีกหนึ่งแบรนด์อุปกรณ์ด้านเสียงราคาคุ้มค่าที่เราอยากให้คุณได้ลอง โดยรุ่นนี้นอกจากจะแปลงเสียงแล้วยังมาพร้อมความสามารถในการปรับแต่งเสียงผ่านปุ่มต่าง ๆ ที่ให้มาได้ด้วยครอบคลุมการใช้งานได้หลากหลายเลย การเชื่อมต่อก็รองรับได้ถึง 4 อุปกรณ์พร้อมกัน เชื่อมต่อได้ทั้งคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือด้วย
รีวิวจากผู้ใช้
“ถือว่าผ่านครับ ใช้ได้เลยทีเดียว”
อีกหนึ่งทางเลือกสำหรับ Sound Card ในการทำเพลงและดนตรีในระดับเริ่มต้น โดยรุ่นนี้จะมาจากแบรนด์ MidiPlus ในรุ่น Studio M หลาย ๆ คนอาจจะหน้าคุ้นตากับแบรนด์ MidiPlus ในเครื่องดนตรีต่าง ๆ โดยเฉพาะ คีย์บอร์ดใช้ดีราคาคุ้มค่า Studio M มาพร้อม อินพุตไมโครโฟน 1 ช่อง จะเหมาะกับการใช้งานอัดเสียงร้องหรือการอัดเสียงไลฟ์ สตรีมมิ่ง และ podcast เป็นหลัก ซึ่งให้ความดังได้สูงสุด 104dB ความละเอียดเสียงสูงสุดที่ 96kHz
รีวิวจากผู้ใช้
“คุณภาพดี เสียงดี ต่อง่าย ตอบโจทย์ทุกฟังช์ชั่น สำหรับคนคิดจะทำเพลงจริงไปค่ะ สมราคา คุ้มค่า”
Sound Card คืออะไร มีหน้าที่อย่างไร
สำหรับเหล่านักฟังมืออาชีพหรือนักดนตรีก็คงจะคุ้นเคยกับ Sound Card หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ Audio Interface กันอยู่แล้วแต่สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่า Sound Card หรือ Audio Interface นั้นมีหน้าที่อย่างไรเราจะมาอธิบายคร่าว ๆ ก็คืออุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ในการแปลงสัญญาณระหว่าง Digital กับ Analog ตัวอย่างเช่นในกรณีของงานด้านการบันทึกเสียงที่จะมีเครื่องดนตรีและเสียงจากไมค์ซึ่งเป็นเสียงระบบ Analog ทำการบันทึกเข้าสู่คอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นระบบ Digital หรือในกรณีของคอมพิวเตอร์ที่ทำการส่งออกหรือแสดงผลเสียงไปยังลำโพงคุณภาพสูงซึ่งเป็นระบบ Analog โดยทั้ง 2 กรณีนี้เมื่อมี Sound Card หรือ Audio Interface มาเป็นสื่อกลางในการแปลงข้อมูลไปมาระหว่าง Digital กับ Analog ก็จะทำให้คุณภาพของสัญญาณเสียงนั้นมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งยังมีกำลังขับที่มากเพียงพอให้อุปกรณ์เครื่องดนตรีและเครื่องเสียงนั้นสามารถแสดงประสิทธิภาพได้อย่างเต็มที่ทั้งเรื่องคุณภาพ รายละเอียดและพลังเสียงนั่นเอง
นอกจากความสามารถพื้นฐานอย่างการแปลงสัญญาณระหว่าง Digital กับ Analog แล้ว Sound Card หรือ Audio Interface ที่มีให้เลือกหลากหลายประเภทนั้น ก็มาพร้อมความสามารถที่หลากหลายแตกต่างกันไปตามแต่ประเภทการใช้งานของรุ่นนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบเสียงรอบทิศทางอย่างระบบเสียง Dolby Audio, 5.1 และ 7.1 ใน Sound Card ที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานด้านการดูหนัง ฟังเพลง หรือ เล่นเกม และความสามารถในการบันทึกเสียงคุณภาพสูง ช่องเชื่อมต่อและ ปุ่มควบคุมต่าง ๆ สำหรับมืออาชีพด้านการทำเพลงและงานด้านเสียงใน Audio Interface ที่ออกแบบมาเพื่อนักดนตรี หรือ ผู้ใช้งานด้านการบันทึกเสียง เช่น podcast และ streaming เป็นต้น
External Sound Card กับ Internal Sound Card ต่างกันตรงไหน
หลายคนอาจจะสงสัยว่า Sound Card ทั้งแบบ External และ Internal นั้นต่างกันอย่างไร อย่างแรกเลยก็คือเรื่อง การเชื่อมต่อ สำหรับ Internal Sound Card นั้นจะใช้การเชื่อมต่อผ่านช่อง PCIe ที่อยู่บน Mainboard ของเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อให้คุณภาพในการแสดงผลเสียงหรือคุณภาพในการบันทึกไฟล์เสียงนั้นดีมากยิ่งขึ้นนอกจากนั้น ในเรื่องจำนวนช่องเชื่อมต่ออุปกรณ์เสียงของคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นก็จะมากขึ้นด้วย ซึ่งแบบ Internal Sound Card ก็จะมีตัวเลือกที่น้อยกว่าและแบบที่ไม่หลากหลายนั้น แลกมาด้วยความเสถียรในการเชื่อมต่อผ่านช่อง PCIe ที่อาจจะมากกว่า
ด้าน External Sound Card ก็จะมีตัวเลือก Sound Card ที่หลากหลายมากกว่า สามารถรองรับการใช้งานสำหรับมืออาชีพได้ ทั้งประเภทที่ออกแบบมาสำหรับการใช้งานเล่นเกม การทำงานด้านเสียง การบันทึกเสียง งานดนตรี podcast หรือ streaming เป็นต้น สำหรับการเชื่อมต่อก็มีให้เลือกทั้งแบบ USB-A และ USB Type-C ไม่เพียงแค่สามารถเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ โน๊ตบุ๊คเท่านั้น บางรุ่นยังสามารถที่เชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือได้ด้วย
วิธีการเลือกซื้อ sound card
สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเลือกซื้อ soundcard คือ เลือกให้เหมาะกับประเภทการใช้งานของเรา ไม่ว่าจำเป็นมืออาชีพด้านเสียงหรือการทำดนตรี ก็ควรเลือกในรุ่นที่รองรับการเชื่อมต่อ เครื่องดนตรี หรืออุปกรณ์บันทึกเสียงที่เหมาะกับการใช้งานของเรา ทั้งช่องเชื่อมต่อในด้านจำนวนและด้านประเภทของการเชื่อมต่อที่ให้มา ควบคู่กับคุณภาพในการแปลงเสียงที่สามารถทำได้ในงบประมาณของเรา หรือสำหรับการใช้งานดูหนัง ฟังเพลง หรือเล่นเกม ก็ควรเลือกในรุ่นที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานที่มาพร้อมเทคโนโลยีเสียงไม่ว่าจะเป็น dolby audio ระบบเสียง 5.1 หรือ 7.1 พร้อมจำนวนช่องเชื่อมต่อที่เพียงพอต่อการใช้งานของเรา ในงบประมาณและการเชื่อมต่อที่เราต้องการไม่ว่าจะเป็น External ผ่านช่อง PCIe ที่อยู่บน Mainboard ของเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือ Internal ผ่านช่อง USB-A และ USB Type-C
ตัวอย่างแบรนด์ที่ขึ้นชื่อในเรื่อง sound card
- CREATIVE
- BEHRINGER
- Focusrite
- Native Instruments
- M-Audio
- Arturia
- Tascam
- APOGEE
- PreSonus
- MiDiPLUS
- steinberg
- Roland
- Komplete
- Audient
- EPOS
- Maono
บทส่งท้าย
จะเห็นได้ว่า Sound Card หรือ การ์ดเสียงนั้นมีให้เลือกหลากหลายแบบแล้วแต่การใช้งาน ทั้งสำหรับการใช้งานดูหนังฟังเพลง เล่นเกม ในระดับทั่ว ๆ ไปและการใช้งานระดับมืออาชีพด้านการทำเพลง ดนตรีหรือการบันทึกเสียงสำหรับการไลฟ์ สตรีมมิ่ง และ podcast ถึงแม้ว่าหลายคนจะเสียงอุปกรณ์เหล่านี้สำหรับมืออาชีพว่า Audio Interface และเรียกอุปกรณ์สำหรับการใช้งานทั่ว ๆ ไปว่า Sound Card
แต่ถึงอย่างนั้นด้วยความที่ทั้งสองอย่างนี้มีการทำงานหลักที่คล้ายคลึงกันคือการแปลงสัญญาณเสียงระหว่าง Digital กับ Analog จึ่งยังมีบางคนที่เรียกรวม ๆ กันอยู่เราจึงคัดหลากหลายแบบเพื่อให้ทุกคนสามารถหา Sound Card ที่ตรงกับความต้องการได้ ในกรณีของ Sound Card สำหรับการทำงานด้านเสียงหรือ Audio Interface นั้นก็มีตัวเลือกที่หลากหลายตั้งแต่ราคาสูงสำหรับการใช้งานระดับเริ่มต้น จนถึงการใช้งานระดับมืออาชีพระดับหลายแสน